วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของจมูกข้าวสาลี


เมล็ดข้าวทุกพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี จะมีส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งอยู่ในเมล็ดพืช เรียกว่าจมูกข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่จะงอกออกไปเป็นต้นใหม่ ประโยชน์ของจมูกข้าวสาลีคือ เป็นแหล่งโปรตีน ข้าวสาลีต้นใหม่จะงอกได้ก็ต้องอาศัยโปรตีนจากจมูกข้าวสาลีนี่แหละ อุดมด้วยวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ จะช่วยชะลอความชรา ป้องกันโรคเสื่อมต่าง ๆ

การดูแลสุขภาพทางเดินหายใจในช่วงฤดูหนาว

การดูแลสุขภาพทางเดินหายใจในช่วงฤดูหนาว




ร่างกายของเราสุดแสนมหัศจรรย์ เพราะมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิสิ่งแวดล้อมที่เย็นลงได้เป็นอย่างดี เพื่อรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ แต่ในบางกรณี เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะทุพโภชนาการ ผู้ที่ได้รับสารบางอย่าง โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ จะไม่สามารถปรับตัวได้ดีเท่าคนปกติ ซึ่งหากร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ อุณหภูมิภายในร่างกายที่เย็นลงจะทำให้มีผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ซึม ไม่รู้สึกตัว และหากไม่ได้รับการแก้ไขอาจถึงแก่ชีวิตได้ ดังที่มีข่าวทุก ๆ ปีในช่วงฤดูหนาว

นอกจากนี้ยังพบว่ามีอุบัติการณ์การเกิดโรคบางอย่างเพิ่มขึ้น ได้แก่
1. การกำเริบของโรคประจำตัว ได้แก่ โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง
2. การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด หัดเยอรมัน สุกใส
3. โรคระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง

http://images.thaiza.com/24/45_20081217145755..gif

โรคที่มักจะพบมากในช่วงฤดูหนาว

http://images.thaiza.com/24/45_200812171457551..gif 1. โรคภูมิแพ้
อาการ มีน้ำมูก จาม ไอ คันจมูก คันตา เมื่อสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นบางอย่าง เช่น ฝุ่น ควัน ขนสัตว์ ละอองเกสร เป็นต้น บางรายอาจมีอาการทางผิวหนังร่วมด้วย เช่น ผื่นแดงคัน ลมพิษ เป็นต้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้ในบางฤดูอาจมีอาการกำเริบมากขึ้น โดยเฉพาะฤดูฝนหรือฤดูหนาว เนื่องจากอาจมีละอองหญ้าหรือเกสรดอกไม้ในอากาศ หรือเป็นจากมีการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
การรักษา หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ ดูแลรักษาสภาพแวดล้อมภายในบ้าน รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ถ้ามีอาการมากขึ้นสามารถกินยาแก้แพ้ลดน้ำมูกได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์

http://images.thaiza.com/24/45_200812171457551..gif 2. โรคหอบหืด และ โรคถุงลมโป่งพอง
อาการ ผู้ป่วยทั้งสองโรคมักจะมีอาการกำเริบบ่อยในช่วงนี้ สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดส่วนหนึ่งจะมีโรคภูมิแพ้ร่วมด้วยอยู่แล้ว หากอาการของภูมิแพ้กำเริบ อาจกระตุ้นทำให้อาการหอบหืดกำเริบได้เช่นกัน สาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอาการกำเริบของโรคหอบหืดและถุงลมโป่งพอง ได้แก่ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
การรักษา ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำร่างกายให้อบอุ่น ใช้ยาควบคุมอาการตามที่แพทย์สั่งให้สม่ำเสมอ หากมีอาการกำเริบ ได้แก่ เหนื่อยมากขึ้น หรือต้องใช้ยาพ่นระงับอาการบ่อยขึ้น ไอมากขึ้น มีเสมหะมากขึ้นหรือเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองหรือเขียว ควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็ว

http://images.thaiza.com/24/45_200812171457551..gif 3. โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่

3.1 ไข้หวัด
อาการ มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ไอ จาม มีน้ำมูก
การรักษา รักษาตามอาการ เช่น ให้ยาแก้ปวดลดไข้ ยาลดน้ำมูก ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำร่างกายให้อบอุ่น ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ และอาการดังกล่าวสามารถหายได้เองในเวลา 5-10 วัน

3.2 ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (H1N1)

ประเทศไทยช่วงฤดูหนาวหรือฤดูฝน จะมีอุบัติการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่สูงสุด(ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล) โดยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ แต่ในช่วงเดือน พ.ค. ที่ผ่านมามีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H1N1 ซึ่งคาดว่าจะระบาดอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวนี้ โดย อาการของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลแต่อาจมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงมากกว่า
อาการ มีไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว โดยผู้ป่วยจะสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการไปจนถึง 5 วันหลังจากมีอาการ ผู้ป่วยบางราย เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ โรคอ้วน มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคถุงลมโป่งพอง หอบหืด เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง มะเร็งหรือผู้ป่วยที่กินยากดภูมิคุ้มกัน จะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนได้มากกว่าคนปกติ โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ อาทิ ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การรักษา รักษาตามอาการ และผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายได้เองใน 1 สัปดาห์ หากไม่มีโรคแทรกซ้อน ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวดังต่อไปนี้ หรือมีประวัติสัมผัสผู้ที่เป็นโรคหรือมีความเสี่ยง เช่น เดินทางไปประเทศที่กำลังมีการระบาด ควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็ว

- ไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยตามตัวมาก กินยาแก้ปวดลดไข้แล้วอาการไม่ดีขึ้น
- อาเจียน ถ่ายเหลว และอ่อนเพลียมาก
- หอบเหนื่อยหรือหายใจลำบาก
- เจ็บหน้าอก
- สับสนหรือซึมลง

ในผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวข้างต้น หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรได้รับการรักษา โดยใช้ยาต้านไวรัสร่วมกับการรักษาตามอาการโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมา นอกจากนี้ผู้ป่วยควรป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลรอบข้าง ด้วยการใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม พักผ่อนอยู่บ้าน ไม่ควรไปในสถานที่แออัด หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
สำหรับบุคคลทั่วไปสามารถป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ ด้วยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือใส่หน้าการอนามัยและล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล หากจำเป็นต้องเดินทางไปสถานที่ที่มีการระบาด หรือสัมผัสผู้ป่วยที่เป็นโรค ควรสังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิด ภายใน 7 วันหลังสัมผัสโรค

การป้องกัน โดยฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง แต่ในปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ดังนั้นการฉีดวัคซีนจึงเป็นการป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่ระบาดตามฤดูกาลเท่านั้น ซึ่งบุคคลที่ควรได้รับการฉีดวัคซีน ได้แก่ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น มีอายุมากกว่า 65 ปี เป็นโรคหอบหืด ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ โรคประจำตัวเรื้อรัง อื่น ๆ เช่น เบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง หรือผู้ที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรค (แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ เป็นต้น)
โดยร่างกายจะเริ่มมีภูมิคุ้มกันหลังฉีดยาประมาณ 2 สัปดาห์ และคงอยู่ประมาณ 1 ปี ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนปีละครั้ง โดยช่วงเวลาที่จะฉีดในแต่ละปีควรฉีดก่อนฤดูที่จะมีการระบาด (ในประเทศไทยอาจพิจารณาฉีดในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน เพื่อป้องกันการเกิดโรคในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว)

จะเห็นได้ว่าโรคหลายโรคสามารถเกิดได้บ่อยขึ้นในช่วงฤดูหนาว และอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมาได้ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การป้องกันการเกิดโรค ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดวงปีชง 2554

ดวงปี 2554 หรือปี 2011 นี้เป็น ปีเถาะ หรือ ปีกระต่าย ธาตุทอง ตามหลักของโหราศาสตร์จีนเรียกว่า เบ๋านี้ ซิงซี้ เป็นปีแห่งโหราศาสตร์ ปีแห่งการพยากรณ์ ตามหลักของโหราศาสตร์


ปีนี้เหมาะจะส่งความสำเร็จให้สำหรับผู้ที่เกิดในปีนักษัตรจอ ปีนักษัตรกุน และ ปีนักษัตรมะแม 3 ปีแห่งโชคลาภ 3 ปีแห่งโอกาส ที่คนที่เกิดในปีดังกล่าวต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้ง เพื่อความสำเร็จของตนเอง ดังนั้นใครก็ตามที่เกิดในปีนักษัตรเหล่านี้ ก็ต้องเตรียมพร้อมกับการเจริญเติบโต ของธุรกิจ หน้าที่การงาน ที่จะก่อให้มีการเกื้อกูลสนับ สนุน ส่งเสริม และสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นให้กับคนที่เกิดในปีนักษัตรดังกล่าว

และนอกเหนือจากปีเสริมแล้วก็มี 3 ปีที่จะมีผลกระทบ หรืออย่างที่เรียกว่าปีชง คนไทยเรียกว่า ปีปะทะ สำหรับคนที่เกิดในปีนักษัตรระกา ปีนักษัตรมะโรง และ ปีนักษัตรชวด สำหรับ ปีที่มีผลที่ไม่เหมาะสำหรับการลงทุน หรือการเริ่มต้น สำหรับปีนี้ควรต้องประคองตนเองให้ผ่าน มีอะไรที่ทำอยู่ก็ขอให้ทำต่อไป ถ้าจะต้องลงทุนเพิ่ม ก็คงต้องงดและไม่ควร

ผู้ที่เกิดปีชง หรือ ปีปะทะ ถ้าจะไปร่วมงานที่จะต้องเรียกว่าทั้งมงคล และ ไม่มงคล ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง หรือถ้าจำเป็นต้องไปร่วมพิธีการสำคัญแล้ว ควรติดกิ่งทับทิมไปด้วย เพื่อป้องกันที่จะเกิดอะไรปะทะให้เจ็บป่วยได้


รู้มั้ยว่า ก้อนหินกินได้!

ก้อนหินกินได้


ในโลกนี้มีก้อนหินที่รับประทานได้ด้วยหรือ?


มีสิ!!! ก็หินอ่อนที่เรานำมาผสมกับน้ำเต้าหู้ ทำเต้าหู้ เต้าฮวยไงล่ะ
หินอ่อนเป็นหินชนิดหนึ่ง แต่ก่อนคนไม่รู้จักหรอก จนกระทั่งชาวจีนโบราณ
ได้ค้นพบสรรพคุณของหินชนิดนี้เข้าโดยบังเอิญ นับแต่นั้นมา พวกเราก็
รับประทานส่วนประกอบของก้อนหินที่ออกมาในรูปของเต้าหู้แข็ง เต้าหู้อ่อน
เต้าฮวย ที่แสนอ่อนนุ่มแทบทุกวัน

เทคนิคถ่ายรูปให้ออกมาผอมเพรียวสวยดังใจ

อยากถ่ายรูปให้ออกมาดูผอมเพรียวสวยดังใจ ทำอย่างไรดีนะ?

อย่างแรกต้องหามุมสวยของหน้าตัวเองให้ได้ก่อนค่ะ วิธีง่ายๆ คือการยืนหน้ากระจก มองหน้าตัวเองตรงๆ แล้วลองหันซ้าย หันขวา กดหน้า เอียงหลายๆ มุม จนกว่าจะเจอมุมที่คิดว่าดูดีที่สุด แล้วจำมุมองศานั้นไว้ให้แม่น จากนั้นฝึกซ้อมการวางตา และปาก หน้ากระจกบ่อยๆ (แต่ต้องตอนอยู่คนเดียวนะคะ) พอเราเริ่มคุ้นมุม จะสามารถถ่ายรูปได้อย่างเป็นธรรมชาติ


เมื่อหน้าสวยแล้ว ต่อไปก็ต้องดูเรื่องท่าทางค่ะ

การยืน ให้เรายืนวางขาทำมุม 45 องศากับกล้อง โดยมีขาข้างหนึ่งล้ำหน้าออกไป บิดเอวและลำตัวด้านบนเข้าหากล้อง จะช่วยให้เอวดูเล็กลง มือไม้ถ้าไม่รู้จะวางที่ไหนให้เอามาประสานกันไว้แถวหน้าท้อง จะทำให้มีช่องว่างช่วงเอวดูไม่ตัน และยังช่วยปิดหน้าท้องได้ด้วย


Tips ถ้าต้องยืนถ่ายรูปเป็นหมู่คณะ ให้หลีกเลี่ยงการยืนตรงกลาง ยืนถัดออกมาจากจุดศูนย์กลาง 2-3 คน จะดูตัวเล็กลง ลองสังเกตดูสิคะ คนยืนถ่ายรูปตรงกลางมักจะดูตัวใหญ่สุดเสมอ


การนั่ง ถ้าต้องนั่งถ่ายรูป ให้เรานั่งเก้าอี้แค่ครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ตัวไม่จมหายไปในเก้าอี้ และนั่งเอียงสะโพก 45 องศากับกล้อง โดยให้สะโพกชิดขอบเก้าอี้ด้านใดด้านหนึ่ง ยืดหลังให้ตรง ประสานมือไว้ที่ตัก กดใบหน้าลงเล็กน้อย แล้วมองกล้อง จะช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลงและดวงตากลมโตขึ้น


การแต่งตัว คุณผู้หญิงควรเลือกเสื้อแบบพอดีตัว อย่ารัดหรือหลวมเกินไป ลายใหญ่ๆ อย่างลายจุด ลายดอก หรือลายเรขาคณิตก็เป็นสิ่งต้องห้าม เพราะจะทำให้ดูตัวใหญ่ขึ้นไปอีก เลือกเสื้อผ้าสีเข้ม อย่างดำ น้ำตาล เทา หรือเนื้อผ้าไม่มัน เพราะเวลาโดนไฟแฟลชจากกล้อง เนื้อผ้ามันจะทำให้ดูตัวหนาขึ้น


Tips รองเท้าส้นสูง (อย่างน้อย 3 นิ้ว) ใส่แล้วจะทำให้ดูรูปร่างโปร่งขึ้น รับรองดูผอมทันตา


การแต่งหน้า เน้นที่ดวงตาให้สวย ดัดและปัดขนตาให้ดูตขึ้น อย่าเน้นขอบตาล่างมากเกินไป เพราะจะทำให้ตาโรยเหมือนเหนื่อย ใช้มาสคาร่าสีอ่อนปัดคิ้วเบาๆ แรเงาข้างจมูกนิดหน่อยให้ดูเด่นขึ้น และแรเงาข้างแก้มให้ดูตอบลง แล้วปัดแก้มสีชมพูอีกนิด อย่าลืมเติมปากสีนู้ดดูเป็นธรรมชาติ อย่าเลือกลิปสติกเนื้อกลอสแบบมันวาว ถ้าสะท้อนแสงแฟลชอาจทำให้ดูริมฝีปาก
มันเงาเกินไป

สุดท้ายคือรอยยิ้ม ความมั่นใจ และความรู้สึกดีๆ จากภายในที่แสดงออกผ่านสีหน้าและแววตา ซึ่งจะทำให้ถ่ายรูปออกมาได้สวยที่สุดค่ะ

5 ปัญหาช่องปาก ที่พวกเรารักษาเองได้

วันนี้เรามีวิธีป้องกันปัญหาในช่องปากของคุณมาฝากกัน รับรองได้ผลชัวร์ค่ะ


1. เสียวฟัน
หยุดใช้ยาสีฟันประเภทไวเทนนิ่ง ขจัดหินปูน หรือยาสีฟันจำพวกเบกกิ้งโซดาสักพัก ยาสีฟันประเภทนี้มีฤทธิ์กัดกร่อนและอาจมีสารฟอสเฟต ซึ่งทำให้เสียวฟัน อย่าแปรงฟันแรงๆ เพราะจะทำให้เหงือกร่น หากความเจ็บปวดไม่จางหาย ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อเสริมฟลูออไรด์ให้ฟันของคุณแข็งแรงขึ้น

2. ฟันหลุด
ล้างฟันซี่นั้นซะแล้วรีบใส่กลับเข้าไปใหม่ทันที จากนั้น ให้กัดเบาๆ ลงบนสำลีหรือถุงชาชื้นๆ เพื่อให้ฟันเข้าที่ การกระแทกจนฟันหลุดจะทำให้เอ็นยืดปริทันต์ (Periodontal ligament) ฉีกขาด แต่อาจจะมีบางส่วนที่ยังติดอยู่กับตัวฟัน ถ้าต่อเร็วพอฟันก็อาจติดกับเหงือกอีกครั้ง ซึ่งภายในไม่กี่วันจะรู้สึกว่าฟันแข็งแรง และเมื่อผ่านไป 1-2 เดือน ก็จะแข็งแรงเหมือนฟันซี่ใหม่

3. เพดานปากหรือลิ้นพอง
การที่เพดานปากพอง จะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นอ่อนตัวลงและติดเชื้อง่ายขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ Kenalog in Orabase ยาทาคอร์ติโคสเตอรอยด์ซึ่งสร้างชั้นเคลือบลงบนแผลพอง และเร่งการฟื้นตัวสำหรับลิ้นพอง ให้กลั้วปาปกโดยการผสมเกลือ 1 ช้อนชากับน้ำอุ่น 1 แก้ว เกลือ จะดึงเอาเชื้ออกมายังผิวหน้าของเนื้อเยื่อ ซึ่งร่างกายของเราจะทำลายมันเสียนอกจากนี้ เกลือยังทำให้เกิดสภาพเป็นกรดอันจะช่วยฆ่าแบคทีเรียอีกด้วย

4. ร้อนใน
หยดน้ำมันพืชลงบนสำลีและกดที่แผลร้อนในวันละ 3-4 ครั้ง ดร.แมรี่ เอลเลน คาไมร์ ที่ปรึกษาด้านโภชนาการจากนิตยสาร Men?s Health กล่าวว่า ?น้ำมันพืชช่วยเคลือบบริเวณที่ร้อนใน และปกป้องบริเวณนั้นจากการระคายเคืองอีกด้วย?

5. ฟันกร่อนหรือร้าว
เกิดจากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะกินของเย็นจัดหลังของร้อนโดยทันที ซึ่งรอยร้าวนั้นอาจจะเกลี้ยงเกลา หรืออาจทิ้งให้ฟันของคุณเผชิญกับการติดเชื้อหรือฟันผุ แต่ทันตแพทย์สามารถเชื่อมและผนึกรอยร้าว เพื่อไม่ให้ฟันของคุณกลายเป็น Dead Zone! ได้

กินข้าวโอ๊ตสู้โรค

ข้าวโอ๊ตอาหารต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ขณะที่คนไทยกำลังเห่อ "ข้าวกล้องงอก" ฝรั่ง ก็ยังกิน ข้าวโอ๊ต อย่างสม่ำเสมอเนิ่นนานนับพันปี
ฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ก็ยังกิน ข้าวโอ๊ต อย่างสม่ำเสมอ กินกันมาเนิ่นนานนับพันปี เพราะข้าวโอ๊ต เป็นอาหารหลักที่กินทั้งเมล็ดได้ จัดเป็นธัญพืชสำคัญอันดับต้น ๆ รองจากข้าวสาลี กินข้าวโอ๊ตไม่ลำบาก เพราะไม่ต้องบดจนเป็นผงแป้งเหมือนข้าวสาลี

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

7 ทรงผมน่ารักๆ เวลาไปทะเล ..

7 ทรงผมน่ารักๆ เวลาไปทะเล

1. ถักเปียด้านข้าง
สาวๆ ทำเป็นกันอยู่แล้วใช่มะคะ ง่าย แต่คงความน่ารักของความเป็นผู้หญิงไว้ได้ดีทีเดียว
ถักไว้ก่อนเลยค่ะ ไม่ต้องเนี้ยบมาก เอาแค่ว่าให้ผมไม่กระจายแยกตัวกัน เวลาเจอลมพัดแรงๆ


2. ปล่อยผมให้เซอร์ๆ

อ๊ะๆ ข้อนี้สำหรับสาวๆ ผมหยักโศก ผมดัด นะคะ เพราะว่าเวลาผมยุ่งๆ ตอนลมตีมาแรงๆ จะดูไม่รู้เลยว่า มันผมมันยุ่งเอง หรือผมมันกันจริงๆ อย่าลืมใส่มูส ใส่ครีมบำรุงผมไว้ด้วยนะคะ


3. มัดผมรวมกัน แบบยุ่งๆ (แลดูไม่ตั้งใจ)

เชื่อมั้ยล่ะว่าทรงแบบนี้ บางทีก็ทำยากนะ .. เอาเป็นว่า จำๆ ทรงผมแบบนี้ไว้
แล้วฝึกมัดม้วนกันบ่อยๆ ก็น่าจะทำให้สวยสบายตาได้ไม่ยาก
(
แอบเห็นเหล่าสาวๆนักศึกษาเค้าทำเยอะแล้วล่ะนะ ทรงนี้)


4. มัดเป็นหางม้า .. ด้านข้าง

มัดตรงๆ มันก็จะแลดูธรรมด๊าธรรมดาเกินไปสักหน่อย
ลองปัดให้มันเฉียงด้านข้างๆ มาบ้าง น่ารักมัดรวบตึงอยู่แล้นน


5. ถักเปียคาดหัว

จัดการเปียผมให้แน่นๆ แล้วพันรอบหัวเอาไว้ . เก๋เป็นที่สุดล่ะค่ะทรง


6. ปล่อยผมเซอร์ๆ แต่...

สำหรับสาวๆ ที่ผมยาวหน่อย แล้วอยากจะปล่อยผมสวยๆ ให้สบายๆ
ลองหาแว่นตาสักอันมาคาดผมไว้เก๋ๆ ไม่ให้ผมปิดหน้าไปหมด
ส่วนผมที่เหลือด้านหลังก็ปล่อยมันตามสบายไปอย่างนั้นเลย .. สวยเซอร์ของจริงคร่า

(ทรงนี้ไม่แนะนำตอนนั่งอยู่ในเรือนะคะ เพราะลมแรงๆ อาจจะดีผมเราให้กระเจิง แถมไปรบกวนคนอื่นเค้าด้วยล่ะ)


7. ทรงดอกเห็ด
จับผมมาทั้งหมด แล้วมัดตรงกลางหัว ปล่อยให้มันพองๆ เหมือนดอกเห็ด ก็น่ารักดีนะ


บางคนอาจจะคิด แค่เนี้ยเอามาแนะนำชั้นทำไม
ก็แหมคุณขา เวลาไปเที่ยวจริงๆ เรามักจะลืมทุกสิ่งอย่างไงคะ
ชุดสวยเริ่ด หน้าเด้ง แก้มแดง แต่ผมยุ่งมากมาย ก็ไม่ไหว นะค้า

ไปเที่ยวทั้งที อย่าปล่อยตัวตามสบายเกินไปนักเลยค่ะ

ผู้หญิง ไม่หยุดสวยยยยย จ้า

การเลือกสีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด ^^


คนเกิดวันอาทิตย์
คุณไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์สีฟ้า สีดำ หรือกระเป๋าที่ทำมาจากหนังของสัตว์ทะเลค่ะ ส่วนสีที่คุณควรใช้คือ สีในโทนส่วาง หรือจะเป็นสีน้ำตาลหรือสีเขียวอันนี้ก็โอเคค่ะ


คนเกิดวันจันทร์
กระเป๋าสตางค์สีแดงหรือกระเป๋าสตางค์ที่ทำมาหนังสัตว์ 2 แบบนี้คุณควรหลีกเลี่ยงไปเลยค่ะ ส่วนสีที่เหมาะกับคุณมากที่สุดก็คือ สีน้ำตาลหรือสีม่วง


คนเกิดวันอังคาร
สีน้ำตาลและสีครีม 2 สีนี้เป็นสีที่ไม่เหมาะกับคนเกิดวันอังคารเลยค่ะ และอีกอย่างที่ต้องห้ามก็คือ กระเป๋าที่ทำมาจากหนังสัตว์ ส่วนสีที่ถูกโฉลกกับคุณก็คือ สีชมพู สีแสด และสีส้ม 3 สีนี้ก็คงจะถูกใจสาวๆ นะคะ


คนเกิดวันพุธ
สำหรับคนเกิดวันพุธก็มีสีต้องห้ามอยู่ 2 สีคือ ดำและชมพู และไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์ที่ทำมาจากหนัง โดยเฉพาะสัตว์ปีก ส่วนสีของกระเป๋าสตางค์ที่เหมาะกับคุณก็คือ สีเขียวครีมและน้ำตาลค่ะ


คนเกิดวันพฤหัสบดี
สำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดีมีสีต้องห้ามอยู่สีเดียวคือ สีดำและขนาดของกระเป๋าจะต้องไม่ใหญ่เกินไป เลือกชนิดมีช่องใส่พอประมาณค่ะ ส่วนสีที่เหมาะก็คือสีแดงหรือส้ม


คนเกิดวันศุกร์
สีของกระเป๋าสตางค์ที่ต้องห้ามสำหรับคนเกิดวันศุกร์ก็คือ สีดำหรือสีทึมไม่สดใส แล้วก็ไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์ที่ดูแปลกจนเกินไป เพราะจะทำให้คุณเก็บเงินไม่อยู่นะคะ ส่วนสีที่ควรใช้ก็คือ สีฟ้าและสีชมพู


คนเกิดวันเสาร์
คุณไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์สีเขียวหรือน้ำตาล และต้องพยามยามเลือกแบบที่ไม่เก่าเร็ว ต้องแลดูใหม่อยู่เสมอหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ คนเกิดวันเสาร์ต้องซื้อกระเป๋าสตางค์บ่อยกว่าคนกิดวันอื่น เพราะถ้าคุณปล่อยกระเป๋าสตางค์ของคุณเก่าขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็ เมื่อนั้นจะทำให้ไม่มีโชคลาภค่ะ ส่วนสีที่เหมาะกับคุณก็คือสีฟ้าหรือสีม่วงค่ะ


วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของจมูกข้าวสาลี


เมล็ดข้าวทุกพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี จะมีส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งอยู่ในเมล็ดพืช เรียกว่าจมูกข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่จะงอกออกไปเป็นต้นใหม่ ประโยชน์ของจมูกข้าวสาลีคือ เป็นแหล่งโปรตีน ข้าวสาลีต้นใหม่จะงอกได้ก็ต้องอาศัยโปรตีนจากจมูกข้าวสาลีนี่แหละ อุดมด้วยวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ จะช่วยชะลอความชรา ป้องกันโรคเสื่อมต่าง ๆ

การดูแลสุขภาพทางเดินหายใจในช่วงฤดูหนาว

การดูแลสุขภาพทางเดินหายใจในช่วงฤดูหนาว




ร่างกายของเราสุดแสนมหัศจรรย์ เพราะมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิสิ่งแวดล้อมที่เย็นลงได้เป็นอย่างดี เพื่อรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ แต่ในบางกรณี เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะทุพโภชนาการ ผู้ที่ได้รับสารบางอย่าง โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ จะไม่สามารถปรับตัวได้ดีเท่าคนปกติ ซึ่งหากร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ อุณหภูมิภายในร่างกายที่เย็นลงจะทำให้มีผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ซึม ไม่รู้สึกตัว และหากไม่ได้รับการแก้ไขอาจถึงแก่ชีวิตได้ ดังที่มีข่าวทุก ๆ ปีในช่วงฤดูหนาว

นอกจากนี้ยังพบว่ามีอุบัติการณ์การเกิดโรคบางอย่างเพิ่มขึ้น ได้แก่
1. การกำเริบของโรคประจำตัว ได้แก่ โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง
2. การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด หัดเยอรมัน สุกใส
3. โรคระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง

http://images.thaiza.com/24/45_20081217145755..gif

โรคที่มักจะพบมากในช่วงฤดูหนาว

http://images.thaiza.com/24/45_200812171457551..gif 1. โรคภูมิแพ้
อาการ มีน้ำมูก จาม ไอ คันจมูก คันตา เมื่อสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นบางอย่าง เช่น ฝุ่น ควัน ขนสัตว์ ละอองเกสร เป็นต้น บางรายอาจมีอาการทางผิวหนังร่วมด้วย เช่น ผื่นแดงคัน ลมพิษ เป็นต้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้ในบางฤดูอาจมีอาการกำเริบมากขึ้น โดยเฉพาะฤดูฝนหรือฤดูหนาว เนื่องจากอาจมีละอองหญ้าหรือเกสรดอกไม้ในอากาศ หรือเป็นจากมีการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
การรักษา หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ ดูแลรักษาสภาพแวดล้อมภายในบ้าน รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ถ้ามีอาการมากขึ้นสามารถกินยาแก้แพ้ลดน้ำมูกได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์

http://images.thaiza.com/24/45_200812171457551..gif 2. โรคหอบหืด และ โรคถุงลมโป่งพอง
อาการ ผู้ป่วยทั้งสองโรคมักจะมีอาการกำเริบบ่อยในช่วงนี้ สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดส่วนหนึ่งจะมีโรคภูมิแพ้ร่วมด้วยอยู่แล้ว หากอาการของภูมิแพ้กำเริบ อาจกระตุ้นทำให้อาการหอบหืดกำเริบได้เช่นกัน สาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอาการกำเริบของโรคหอบหืดและถุงลมโป่งพอง ได้แก่ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
การรักษา ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำร่างกายให้อบอุ่น ใช้ยาควบคุมอาการตามที่แพทย์สั่งให้สม่ำเสมอ หากมีอาการกำเริบ ได้แก่ เหนื่อยมากขึ้น หรือต้องใช้ยาพ่นระงับอาการบ่อยขึ้น ไอมากขึ้น มีเสมหะมากขึ้นหรือเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองหรือเขียว ควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็ว

http://images.thaiza.com/24/45_200812171457551..gif 3. โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่

3.1 ไข้หวัด
อาการ มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ไอ จาม มีน้ำมูก
การรักษา รักษาตามอาการ เช่น ให้ยาแก้ปวดลดไข้ ยาลดน้ำมูก ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำร่างกายให้อบอุ่น ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ และอาการดังกล่าวสามารถหายได้เองในเวลา 5-10 วัน

3.2 ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (H1N1)

ประเทศไทยช่วงฤดูหนาวหรือฤดูฝน จะมีอุบัติการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่สูงสุด(ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล) โดยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ แต่ในช่วงเดือน พ.ค. ที่ผ่านมามีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์ H1N1 ซึ่งคาดว่าจะระบาดอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวนี้ โดย อาการของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลแต่อาจมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงมากกว่า
อาการ มีไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว โดยผู้ป่วยจะสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการไปจนถึง 5 วันหลังจากมีอาการ ผู้ป่วยบางราย เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ โรคอ้วน มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคถุงลมโป่งพอง หอบหืด เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง มะเร็งหรือผู้ป่วยที่กินยากดภูมิคุ้มกัน จะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนได้มากกว่าคนปกติ โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ อาทิ ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การรักษา รักษาตามอาการ และผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายได้เองใน 1 สัปดาห์ หากไม่มีโรคแทรกซ้อน ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวดังต่อไปนี้ หรือมีประวัติสัมผัสผู้ที่เป็นโรคหรือมีความเสี่ยง เช่น เดินทางไปประเทศที่กำลังมีการระบาด ควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็ว

- ไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยตามตัวมาก กินยาแก้ปวดลดไข้แล้วอาการไม่ดีขึ้น
- อาเจียน ถ่ายเหลว และอ่อนเพลียมาก
- หอบเหนื่อยหรือหายใจลำบาก
- เจ็บหน้าอก
- สับสนหรือซึมลง

ในผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวข้างต้น หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรได้รับการรักษา โดยใช้ยาต้านไวรัสร่วมกับการรักษาตามอาการโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมา นอกจากนี้ผู้ป่วยควรป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลรอบข้าง ด้วยการใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม พักผ่อนอยู่บ้าน ไม่ควรไปในสถานที่แออัด หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
สำหรับบุคคลทั่วไปสามารถป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ ด้วยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือใส่หน้าการอนามัยและล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล หากจำเป็นต้องเดินทางไปสถานที่ที่มีการระบาด หรือสัมผัสผู้ป่วยที่เป็นโรค ควรสังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิด ภายใน 7 วันหลังสัมผัสโรค

การป้องกัน โดยฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง แต่ในปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ดังนั้นการฉีดวัคซีนจึงเป็นการป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่ระบาดตามฤดูกาลเท่านั้น ซึ่งบุคคลที่ควรได้รับการฉีดวัคซีน ได้แก่ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น มีอายุมากกว่า 65 ปี เป็นโรคหอบหืด ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ โรคประจำตัวเรื้อรัง อื่น ๆ เช่น เบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง หรือผู้ที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรค (แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ เป็นต้น)
โดยร่างกายจะเริ่มมีภูมิคุ้มกันหลังฉีดยาประมาณ 2 สัปดาห์ และคงอยู่ประมาณ 1 ปี ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนปีละครั้ง โดยช่วงเวลาที่จะฉีดในแต่ละปีควรฉีดก่อนฤดูที่จะมีการระบาด (ในประเทศไทยอาจพิจารณาฉีดในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน เพื่อป้องกันการเกิดโรคในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว)

จะเห็นได้ว่าโรคหลายโรคสามารถเกิดได้บ่อยขึ้นในช่วงฤดูหนาว และอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมาได้ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การป้องกันการเกิดโรค ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดวงปีชง 2554

ดวงปี 2554 หรือปี 2011 นี้เป็น ปีเถาะ หรือ ปีกระต่าย ธาตุทอง ตามหลักของโหราศาสตร์จีนเรียกว่า เบ๋านี้ ซิงซี้ เป็นปีแห่งโหราศาสตร์ ปีแห่งการพยากรณ์ ตามหลักของโหราศาสตร์


ปีนี้เหมาะจะส่งความสำเร็จให้สำหรับผู้ที่เกิดในปีนักษัตรจอ ปีนักษัตรกุน และ ปีนักษัตรมะแม 3 ปีแห่งโชคลาภ 3 ปีแห่งโอกาส ที่คนที่เกิดในปีดังกล่าวต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้ง เพื่อความสำเร็จของตนเอง ดังนั้นใครก็ตามที่เกิดในปีนักษัตรเหล่านี้ ก็ต้องเตรียมพร้อมกับการเจริญเติบโต ของธุรกิจ หน้าที่การงาน ที่จะก่อให้มีการเกื้อกูลสนับ สนุน ส่งเสริม และสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นให้กับคนที่เกิดในปีนักษัตรดังกล่าว

และนอกเหนือจากปีเสริมแล้วก็มี 3 ปีที่จะมีผลกระทบ หรืออย่างที่เรียกว่าปีชง คนไทยเรียกว่า ปีปะทะ สำหรับคนที่เกิดในปีนักษัตรระกา ปีนักษัตรมะโรง และ ปีนักษัตรชวด สำหรับ ปีที่มีผลที่ไม่เหมาะสำหรับการลงทุน หรือการเริ่มต้น สำหรับปีนี้ควรต้องประคองตนเองให้ผ่าน มีอะไรที่ทำอยู่ก็ขอให้ทำต่อไป ถ้าจะต้องลงทุนเพิ่ม ก็คงต้องงดและไม่ควร

ผู้ที่เกิดปีชง หรือ ปีปะทะ ถ้าจะไปร่วมงานที่จะต้องเรียกว่าทั้งมงคล และ ไม่มงคล ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง หรือถ้าจำเป็นต้องไปร่วมพิธีการสำคัญแล้ว ควรติดกิ่งทับทิมไปด้วย เพื่อป้องกันที่จะเกิดอะไรปะทะให้เจ็บป่วยได้


รู้มั้ยว่า ก้อนหินกินได้!

ก้อนหินกินได้


ในโลกนี้มีก้อนหินที่รับประทานได้ด้วยหรือ?


มีสิ!!! ก็หินอ่อนที่เรานำมาผสมกับน้ำเต้าหู้ ทำเต้าหู้ เต้าฮวยไงล่ะ
หินอ่อนเป็นหินชนิดหนึ่ง แต่ก่อนคนไม่รู้จักหรอก จนกระทั่งชาวจีนโบราณ
ได้ค้นพบสรรพคุณของหินชนิดนี้เข้าโดยบังเอิญ นับแต่นั้นมา พวกเราก็
รับประทานส่วนประกอบของก้อนหินที่ออกมาในรูปของเต้าหู้แข็ง เต้าหู้อ่อน
เต้าฮวย ที่แสนอ่อนนุ่มแทบทุกวัน

เทคนิคถ่ายรูปให้ออกมาผอมเพรียวสวยดังใจ

อยากถ่ายรูปให้ออกมาดูผอมเพรียวสวยดังใจ ทำอย่างไรดีนะ?

อย่างแรกต้องหามุมสวยของหน้าตัวเองให้ได้ก่อนค่ะ วิธีง่ายๆ คือการยืนหน้ากระจก มองหน้าตัวเองตรงๆ แล้วลองหันซ้าย หันขวา กดหน้า เอียงหลายๆ มุม จนกว่าจะเจอมุมที่คิดว่าดูดีที่สุด แล้วจำมุมองศานั้นไว้ให้แม่น จากนั้นฝึกซ้อมการวางตา และปาก หน้ากระจกบ่อยๆ (แต่ต้องตอนอยู่คนเดียวนะคะ) พอเราเริ่มคุ้นมุม จะสามารถถ่ายรูปได้อย่างเป็นธรรมชาติ


เมื่อหน้าสวยแล้ว ต่อไปก็ต้องดูเรื่องท่าทางค่ะ

การยืน ให้เรายืนวางขาทำมุม 45 องศากับกล้อง โดยมีขาข้างหนึ่งล้ำหน้าออกไป บิดเอวและลำตัวด้านบนเข้าหากล้อง จะช่วยให้เอวดูเล็กลง มือไม้ถ้าไม่รู้จะวางที่ไหนให้เอามาประสานกันไว้แถวหน้าท้อง จะทำให้มีช่องว่างช่วงเอวดูไม่ตัน และยังช่วยปิดหน้าท้องได้ด้วย


Tips ถ้าต้องยืนถ่ายรูปเป็นหมู่คณะ ให้หลีกเลี่ยงการยืนตรงกลาง ยืนถัดออกมาจากจุดศูนย์กลาง 2-3 คน จะดูตัวเล็กลง ลองสังเกตดูสิคะ คนยืนถ่ายรูปตรงกลางมักจะดูตัวใหญ่สุดเสมอ


การนั่ง ถ้าต้องนั่งถ่ายรูป ให้เรานั่งเก้าอี้แค่ครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ตัวไม่จมหายไปในเก้าอี้ และนั่งเอียงสะโพก 45 องศากับกล้อง โดยให้สะโพกชิดขอบเก้าอี้ด้านใดด้านหนึ่ง ยืดหลังให้ตรง ประสานมือไว้ที่ตัก กดใบหน้าลงเล็กน้อย แล้วมองกล้อง จะช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลงและดวงตากลมโตขึ้น


การแต่งตัว คุณผู้หญิงควรเลือกเสื้อแบบพอดีตัว อย่ารัดหรือหลวมเกินไป ลายใหญ่ๆ อย่างลายจุด ลายดอก หรือลายเรขาคณิตก็เป็นสิ่งต้องห้าม เพราะจะทำให้ดูตัวใหญ่ขึ้นไปอีก เลือกเสื้อผ้าสีเข้ม อย่างดำ น้ำตาล เทา หรือเนื้อผ้าไม่มัน เพราะเวลาโดนไฟแฟลชจากกล้อง เนื้อผ้ามันจะทำให้ดูตัวหนาขึ้น


Tips รองเท้าส้นสูง (อย่างน้อย 3 นิ้ว) ใส่แล้วจะทำให้ดูรูปร่างโปร่งขึ้น รับรองดูผอมทันตา


การแต่งหน้า เน้นที่ดวงตาให้สวย ดัดและปัดขนตาให้ดูตขึ้น อย่าเน้นขอบตาล่างมากเกินไป เพราะจะทำให้ตาโรยเหมือนเหนื่อย ใช้มาสคาร่าสีอ่อนปัดคิ้วเบาๆ แรเงาข้างจมูกนิดหน่อยให้ดูเด่นขึ้น และแรเงาข้างแก้มให้ดูตอบลง แล้วปัดแก้มสีชมพูอีกนิด อย่าลืมเติมปากสีนู้ดดูเป็นธรรมชาติ อย่าเลือกลิปสติกเนื้อกลอสแบบมันวาว ถ้าสะท้อนแสงแฟลชอาจทำให้ดูริมฝีปาก
มันเงาเกินไป

สุดท้ายคือรอยยิ้ม ความมั่นใจ และความรู้สึกดีๆ จากภายในที่แสดงออกผ่านสีหน้าและแววตา ซึ่งจะทำให้ถ่ายรูปออกมาได้สวยที่สุดค่ะ

5 ปัญหาช่องปาก ที่พวกเรารักษาเองได้

วันนี้เรามีวิธีป้องกันปัญหาในช่องปากของคุณมาฝากกัน รับรองได้ผลชัวร์ค่ะ


1. เสียวฟัน
หยุดใช้ยาสีฟันประเภทไวเทนนิ่ง ขจัดหินปูน หรือยาสีฟันจำพวกเบกกิ้งโซดาสักพัก ยาสีฟันประเภทนี้มีฤทธิ์กัดกร่อนและอาจมีสารฟอสเฟต ซึ่งทำให้เสียวฟัน อย่าแปรงฟันแรงๆ เพราะจะทำให้เหงือกร่น หากความเจ็บปวดไม่จางหาย ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อเสริมฟลูออไรด์ให้ฟันของคุณแข็งแรงขึ้น

2. ฟันหลุด
ล้างฟันซี่นั้นซะแล้วรีบใส่กลับเข้าไปใหม่ทันที จากนั้น ให้กัดเบาๆ ลงบนสำลีหรือถุงชาชื้นๆ เพื่อให้ฟันเข้าที่ การกระแทกจนฟันหลุดจะทำให้เอ็นยืดปริทันต์ (Periodontal ligament) ฉีกขาด แต่อาจจะมีบางส่วนที่ยังติดอยู่กับตัวฟัน ถ้าต่อเร็วพอฟันก็อาจติดกับเหงือกอีกครั้ง ซึ่งภายในไม่กี่วันจะรู้สึกว่าฟันแข็งแรง และเมื่อผ่านไป 1-2 เดือน ก็จะแข็งแรงเหมือนฟันซี่ใหม่

3. เพดานปากหรือลิ้นพอง
การที่เพดานปากพอง จะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นอ่อนตัวลงและติดเชื้อง่ายขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ Kenalog in Orabase ยาทาคอร์ติโคสเตอรอยด์ซึ่งสร้างชั้นเคลือบลงบนแผลพอง และเร่งการฟื้นตัวสำหรับลิ้นพอง ให้กลั้วปาปกโดยการผสมเกลือ 1 ช้อนชากับน้ำอุ่น 1 แก้ว เกลือ จะดึงเอาเชื้ออกมายังผิวหน้าของเนื้อเยื่อ ซึ่งร่างกายของเราจะทำลายมันเสียนอกจากนี้ เกลือยังทำให้เกิดสภาพเป็นกรดอันจะช่วยฆ่าแบคทีเรียอีกด้วย

4. ร้อนใน
หยดน้ำมันพืชลงบนสำลีและกดที่แผลร้อนในวันละ 3-4 ครั้ง ดร.แมรี่ เอลเลน คาไมร์ ที่ปรึกษาด้านโภชนาการจากนิตยสาร Men?s Health กล่าวว่า ?น้ำมันพืชช่วยเคลือบบริเวณที่ร้อนใน และปกป้องบริเวณนั้นจากการระคายเคืองอีกด้วย?

5. ฟันกร่อนหรือร้าว
เกิดจากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะกินของเย็นจัดหลังของร้อนโดยทันที ซึ่งรอยร้าวนั้นอาจจะเกลี้ยงเกลา หรืออาจทิ้งให้ฟันของคุณเผชิญกับการติดเชื้อหรือฟันผุ แต่ทันตแพทย์สามารถเชื่อมและผนึกรอยร้าว เพื่อไม่ให้ฟันของคุณกลายเป็น Dead Zone! ได้

กินข้าวโอ๊ตสู้โรค

ข้าวโอ๊ตอาหารต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ขณะที่คนไทยกำลังเห่อ "ข้าวกล้องงอก" ฝรั่ง ก็ยังกิน ข้าวโอ๊ต อย่างสม่ำเสมอเนิ่นนานนับพันปี
ฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ก็ยังกิน ข้าวโอ๊ต อย่างสม่ำเสมอ กินกันมาเนิ่นนานนับพันปี เพราะข้าวโอ๊ต เป็นอาหารหลักที่กินทั้งเมล็ดได้ จัดเป็นธัญพืชสำคัญอันดับต้น ๆ รองจากข้าวสาลี กินข้าวโอ๊ตไม่ลำบาก เพราะไม่ต้องบดจนเป็นผงแป้งเหมือนข้าวสาลี

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

7 ทรงผมน่ารักๆ เวลาไปทะเล ..

7 ทรงผมน่ารักๆ เวลาไปทะเล

1. ถักเปียด้านข้าง
สาวๆ ทำเป็นกันอยู่แล้วใช่มะคะ ง่าย แต่คงความน่ารักของความเป็นผู้หญิงไว้ได้ดีทีเดียว
ถักไว้ก่อนเลยค่ะ ไม่ต้องเนี้ยบมาก เอาแค่ว่าให้ผมไม่กระจายแยกตัวกัน เวลาเจอลมพัดแรงๆ


2. ปล่อยผมให้เซอร์ๆ

อ๊ะๆ ข้อนี้สำหรับสาวๆ ผมหยักโศก ผมดัด นะคะ เพราะว่าเวลาผมยุ่งๆ ตอนลมตีมาแรงๆ จะดูไม่รู้เลยว่า มันผมมันยุ่งเอง หรือผมมันกันจริงๆ อย่าลืมใส่มูส ใส่ครีมบำรุงผมไว้ด้วยนะคะ


3. มัดผมรวมกัน แบบยุ่งๆ (แลดูไม่ตั้งใจ)

เชื่อมั้ยล่ะว่าทรงแบบนี้ บางทีก็ทำยากนะ .. เอาเป็นว่า จำๆ ทรงผมแบบนี้ไว้
แล้วฝึกมัดม้วนกันบ่อยๆ ก็น่าจะทำให้สวยสบายตาได้ไม่ยาก
(
แอบเห็นเหล่าสาวๆนักศึกษาเค้าทำเยอะแล้วล่ะนะ ทรงนี้)


4. มัดเป็นหางม้า .. ด้านข้าง

มัดตรงๆ มันก็จะแลดูธรรมด๊าธรรมดาเกินไปสักหน่อย
ลองปัดให้มันเฉียงด้านข้างๆ มาบ้าง น่ารักมัดรวบตึงอยู่แล้นน


5. ถักเปียคาดหัว

จัดการเปียผมให้แน่นๆ แล้วพันรอบหัวเอาไว้ . เก๋เป็นที่สุดล่ะค่ะทรง


6. ปล่อยผมเซอร์ๆ แต่...

สำหรับสาวๆ ที่ผมยาวหน่อย แล้วอยากจะปล่อยผมสวยๆ ให้สบายๆ
ลองหาแว่นตาสักอันมาคาดผมไว้เก๋ๆ ไม่ให้ผมปิดหน้าไปหมด
ส่วนผมที่เหลือด้านหลังก็ปล่อยมันตามสบายไปอย่างนั้นเลย .. สวยเซอร์ของจริงคร่า

(ทรงนี้ไม่แนะนำตอนนั่งอยู่ในเรือนะคะ เพราะลมแรงๆ อาจจะดีผมเราให้กระเจิง แถมไปรบกวนคนอื่นเค้าด้วยล่ะ)


7. ทรงดอกเห็ด
จับผมมาทั้งหมด แล้วมัดตรงกลางหัว ปล่อยให้มันพองๆ เหมือนดอกเห็ด ก็น่ารักดีนะ


บางคนอาจจะคิด แค่เนี้ยเอามาแนะนำชั้นทำไม
ก็แหมคุณขา เวลาไปเที่ยวจริงๆ เรามักจะลืมทุกสิ่งอย่างไงคะ
ชุดสวยเริ่ด หน้าเด้ง แก้มแดง แต่ผมยุ่งมากมาย ก็ไม่ไหว นะค้า

ไปเที่ยวทั้งที อย่าปล่อยตัวตามสบายเกินไปนักเลยค่ะ

ผู้หญิง ไม่หยุดสวยยยยย จ้า

การเลือกสีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด ^^


คนเกิดวันอาทิตย์
คุณไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์สีฟ้า สีดำ หรือกระเป๋าที่ทำมาจากหนังของสัตว์ทะเลค่ะ ส่วนสีที่คุณควรใช้คือ สีในโทนส่วาง หรือจะเป็นสีน้ำตาลหรือสีเขียวอันนี้ก็โอเคค่ะ


คนเกิดวันจันทร์
กระเป๋าสตางค์สีแดงหรือกระเป๋าสตางค์ที่ทำมาหนังสัตว์ 2 แบบนี้คุณควรหลีกเลี่ยงไปเลยค่ะ ส่วนสีที่เหมาะกับคุณมากที่สุดก็คือ สีน้ำตาลหรือสีม่วง


คนเกิดวันอังคาร
สีน้ำตาลและสีครีม 2 สีนี้เป็นสีที่ไม่เหมาะกับคนเกิดวันอังคารเลยค่ะ และอีกอย่างที่ต้องห้ามก็คือ กระเป๋าที่ทำมาจากหนังสัตว์ ส่วนสีที่ถูกโฉลกกับคุณก็คือ สีชมพู สีแสด และสีส้ม 3 สีนี้ก็คงจะถูกใจสาวๆ นะคะ


คนเกิดวันพุธ
สำหรับคนเกิดวันพุธก็มีสีต้องห้ามอยู่ 2 สีคือ ดำและชมพู และไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์ที่ทำมาจากหนัง โดยเฉพาะสัตว์ปีก ส่วนสีของกระเป๋าสตางค์ที่เหมาะกับคุณก็คือ สีเขียวครีมและน้ำตาลค่ะ


คนเกิดวันพฤหัสบดี
สำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดีมีสีต้องห้ามอยู่สีเดียวคือ สีดำและขนาดของกระเป๋าจะต้องไม่ใหญ่เกินไป เลือกชนิดมีช่องใส่พอประมาณค่ะ ส่วนสีที่เหมาะก็คือสีแดงหรือส้ม


คนเกิดวันศุกร์
สีของกระเป๋าสตางค์ที่ต้องห้ามสำหรับคนเกิดวันศุกร์ก็คือ สีดำหรือสีทึมไม่สดใส แล้วก็ไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์ที่ดูแปลกจนเกินไป เพราะจะทำให้คุณเก็บเงินไม่อยู่นะคะ ส่วนสีที่ควรใช้ก็คือ สีฟ้าและสีชมพู


คนเกิดวันเสาร์
คุณไม่ควรใช้กระเป๋าสตางค์สีเขียวหรือน้ำตาล และต้องพยามยามเลือกแบบที่ไม่เก่าเร็ว ต้องแลดูใหม่อยู่เสมอหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ คนเกิดวันเสาร์ต้องซื้อกระเป๋าสตางค์บ่อยกว่าคนกิดวันอื่น เพราะถ้าคุณปล่อยกระเป๋าสตางค์ของคุณเก่าขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็ เมื่อนั้นจะทำให้ไม่มีโชคลาภค่ะ ส่วนสีที่เหมาะกับคุณก็คือสีฟ้าหรือสีม่วงค่ะ