วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

4 วิธีพัฒนา “อีคิว”

4 วิธีพัฒนา “อีคิว”


สู่วิถีผู้มี “สุขภาพจิตดี” ช่วยการดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ มีสุข เพียงหมั่นฝึกทักษะ 4 วิธี

นอกจากไอคิว (I.Q.) แล้ว ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว (E.Q.) ถือเป็นส่วนสำคัญต่อวัยเรียนอย่างมาก ซึ่งการเข้าใจ รู้จักแยกแยะ ควบคุม และแสดงอารมณ์ถูกต้องตามกาลเทศะได้นั้น จะช่วยเสริมสุข สร้างสมดุลของชีวิต ทั้งยังสามารถเผชิญความคับข้องใจ และแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างราบรื่น โดยทักษะดังกล่าว สร้างได้ง่าย ๆ ดังนี้


เริ่มจาก “ฝึกสมาธิ” จะช่วยจัดระเบียบความคิด ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ ทำให้มั่นคงทางอารมณ์ สงบ หนักแน่น เยือกเย็น ทั้งยังคลายเครียด เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการศึกษาเล่าเรียน นอกจากนั้น การออกกำลังกาย เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ ก็เป็นผลดีเช่นกัน

“ฝึกระงับอารมณ์” ยามเจอสถานการณ์ตึงเครียด ด้วยวิธีต่าง ๆ อาทิ กำหนดลมหายใจให้สติอยู่กับตัว โดยหายใจเข้า-ออกยาว ๆ, นับ 1-10 หรือ นับต่อเรื่อย ๆ จนรู้สึกสงบ หรือ ปลีกตัวออกมาชั่วคราว เป็นต้น ซึ่งหัวใจหลักคือ ต้องรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่สามารถควบคุมความโกรธนั้นได้ และหาวิธีจัดการอย่างเหมาะสม

“ละทิ้งพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ” และค่อย ๆ ปรับปรุงตนเอง รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ฝึกเป็นผู้พูด-ผู้ฟังที่ดี และไม่ลืมที่จะใส่ใจความรู้สึกผู้อื่น

“ยอมรับความบกพร่อง” เนื่องจากสิ่งที่หวังอาจไม่เป็นอย่างที่คิด 100% ดังนั้น ทักษะข้อนี้ จะช่วยให้ไม่เครียด ไม่ทุกข์ ไม่ผิดหวังมากเกินไป ขณะเดียวกัน ลองมองเป็นความท้าทาย เพื่อสร้างพลังใจต่อสู้กับอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้

ทักษะข้างต้น เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนให้เกิดได้ เหมาะอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตท่ามกลางวิกฤติปัญหาปัจจุบัน

เทคนิคการใส่เสื้อผ้าสีสด


เทคนิคการใส่เสื้อผ้าสีสด

1. เริ่มจากลองชิ้นสีสดชิ้นเล็กๆ พวกเครื่องประดับทั้งหลาย เติมแต่งลงบนร่างกายก่อน เป็นต้นว่า ผ้าพันคอ เข็มขัด รองเท้า กระเป๋า สร้อยคอ เป็นต้น จากนั้นค่อยเลื่อนลงมาเป็นกางเกง กระโปรง มิกซ์กับสีดำ สีขาว หรือสีนู้ด แล้วค่อยปรับประดับเป็นใส่ทั้งชุด

2. หากที่ผ่านมาชอบใสแต่สีขรึมๆ หรือโทนพาสเทลหวานๆ ลองค่อยๆ เปลี่ยนลุค เข้าสู่โทนสีสดทีละน้อย โดยเริ่มจากใส่สีโทนเข้มก่อน อย่างสีน้ำเงิน สีม่วง สีเขียว จากนั้นจึงปรับสู่สีโทนสว่างอย่างสีส้มสดหรือสีเหลืองสด

3. ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดสีพื้นตลอด อาจเปลี่ยนเป็นชุดผ้าพิมพ์ลายสีสด ผสมกับผ้าพื้นเพื่อช่วยให้เกิดความสนุกสนานในการแต่งตัวยิ่งขึ้น

4. การใส่สีสดจัดนั้นไม่จำเป็นต้องใส่เฉดสีเดียวกันทั้งชุด ถ้าจะให้ดูมีรสนิยม เราอาจจับมิกซ์สีต่างเฉดอ่อนเข้มไม่เท่ากันในชุดเดียว เพื่อให้เกิดเลเยอร์และดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น


อาหารที่ช่วยลด ความอยากอาหารได้

อาหารที่ช่วยลด ความอยากอาหารได้

ถ้าคุณรู้สึกว่า การควบคุมตัวเองไม่ให้หยิบช็อกโกแลต หรือคุกกี้รับประทานนั้นเป็นเรื่องแสนยาก รวมทั้งอาการอยากอาหารไม่หยุดหย่อน การรับประทานอาหารที่จะแนะนำนี้ รองท้องหรือระหว่างมื้อ จะช่วยลดความอยากอาหารได้มากขึ้นค่ะ

ถั่ว


แบบที่มีชื่อว่า Pine nute ช่วยระงับฮอรโมนความอยากอาหาร ที่ชื่อว่า Cholecystokinin (CKK) ดังนั้นจึงแนะนำว่า ให้โรยในสลัด พาสต้าโฮลวีท หรืออาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ถ้าหาถั่วชนิดนี้ไม่ได้ ใช้ "อัลมอนด์" แทนได้ เพราะมีปฎิกิริยาขัดขวางการดูดซึงไขมันในร่างกาย ช่วยให้ลดน้ำหนักได้

อาหารร้อน


เช่น ซุป และน้ำชา ด้วยอุณหภูมิที่สูงทำให้ความอยากอาหารลดต่ำลง ดังนั้น ก่อนมื้อหนัก ควรรับประทานซุป หรือน้ำชา ถ้าได้จิบชาเขียวร้อน บอกกันว่า จะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญให้ดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ

แอปเปิ้ล



มีไฟเบอร์มากกว่าพืช องุ่น และส้มเสียอีก ซึ่งไฟเบอร์ช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม ป้องกันการรับประทานมากจนเกินพอดี เพราะฉะนั้นจึงมีคำแนะนำให้รับประทานแอปเปิ้ลก่อนมื้อค่ำค่ะ

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคฝึกสำเนียงอังกฤษเลิศ



พูดคล่องลื่นไหล ออกเสียงสูงต่ำหนักเบาเหมาะสม เรียนรู้กันได้ เพียงหมั่นฝึกทักษะ 4 ข้อ

เริ่มจาก “ฟังบ่อย ฟังเยอะ ฟังหลากหลาย” เริ่มจากสิ่งใกล้ตัว เช่น เพลง ภาพยนตร์ ข่าว จะพบความแตกต่างของภาษา และเห็นการใช้รูปปากเพื่อออกเสียงคำต่างๆ โดยในช่วงแรก “เน้นฟังการออกเสียง สังเกตอารมณ์ความรู้สึกก่อน” ใช้เวลาประมาณวันละ 1-2 ชั่วโมง เพื่อสร้างความเคยชินกับภาษา และโครงสร้าง จากนั้น ซื้อหนังสือบทสนทนามาฝึกอ่าน แล้วออกเสียงตามซีดี

“พกดิกชันนารีติดตัว” ควรเลือกใช้แบบช่วยเสริมภาษา ที่แสดงการถอดเสียงคำอ่าน มีตัวอย่างการใช้คำ ประโยค/วลีค่อนข้างมาก พร้อมคำแปลภาษาไทย เพื่อสะดวกต่อการทำความเข้าใจ และตีความอย่างถูกต้อง

สุดท้าย “ช่างสังเกต” จากคำศัพท์ที่รู้อยู่แล้ว หากเจ้าของภาษาออกเสียงต่างจากเรา สามารถจำมาฝึก แล้วแก้สำเนียงของคำนั้น ๆ ให้ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม การออกเสียงที่ถูกต้อง ใช้เสียงสูงต่ำเหมาะสม จะช่วยให้การพูดภาษาอังกฤษน่าฟัง และเข้าใจความหมายได้ชัดเจน ซึ่งทุกคนสามารถเก่งได้ เพียงหมั่นพัฒนาทักษะอย่างสม่ำเสมอ.

ทำไมเมืองไทยไม่มีหิมะตก



เคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมประเทศไทยไม่มีหิมะ ทั้งๆ ที่ ญี่ปุ่น เกาหลี ที่อยู่ทวีปเอเชียด้วยกัน กลับมีหิมะตกในช่วงหน้าหนาว (เวียดนามก็เคยตกมาแล้ว!!) วันนี้พี่มิ้นท์จะมาคลายปมให้หายสงสัยกันไปเลย

ทวีปเอเชียเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ตั้งบริเวณเส้นศูนย์สูตรไปจนถึงบริเวณขั้วโลกเหนือ อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 77 องศา 45 ลิปดาเหนือ ถึง 1 องศา 45 ลิปดาเหนือ และเส้นลองติจูดที่ 169 องศา 40 ลิปดาตะวันตก ถึง 26 องศา 4 ลิปดาตะวันออก โดยปกติเส้นละติจูดจะทำให้เรารู้สภาพอากาศของต่ำแหน่งประเทศนั้นๆ โดยตำแหน่งที่ตั้งที่มีค่าละติจูดต่ำ ก็จะมีอุณหภูมิสูงกว่าต่ำแหน่งพื้นที่ที่อยู่ละติจูดสูงกว่า เพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากกว่านั่นเอง ด้วยความกว้างขวางขนาดนี้ ทวีปเอเชียจึงมีความหลากหลายทางสภาพภูมิอากาศ เรียกว่ามีตั้งแต่ร้อนแห้งแล้งแบบทะเลทราย ไปจนถึงหนาวแบบขั้วโลก เลย



ยังจำได้ตอนเรียนวิชาภูมิศาสตร์ จะรู้ว่าประเทศไทยตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูด 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ ถึง 20 องศา 25 ลิปดาเหนือ เรียกว่า อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาเพียงนิดเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเขตร้อนชื้น โดยรวมอากาศมาตรฐานของไทยก็จะอบอ้าว สลับกันระหว่างร้อนกับฝนตก ถ้าร้อนก็จะร้อนตับแตก ถ้าฝนก็มีมรสุมหลายชนิด ถ้าหน้าหนาว ก็ให้ได้รู้สึกเย็นบ้างพอเป็นพิธี ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โดยภาคเหนือจะหนาวที่สุด ส่วนภาคใต้จะไม่ค่อยหนาว เน้นฝนตกอย่างเดียว หลังจากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตแบบร้อนๆ ตามเดิม

ด้วยสภาพภูมิอากาศแบบนี้ก็พอจะอธิบายได้ว่า เมืองไทยยังหนาวไม่พอที่หิมะจะตกลงมาได้ เพราะหิมะจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศที่อุณหภูมิต่ำประมาณ 0 องศา หรือถ้ามีฝนตกร่วมด้วยก็อาจจะไม่ต้องถึง 0 องศา เพราะบรรยากาศมีความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสม

ถ้าจะอธิบายง่ายๆ หิมะ ก็คือ การรวมตัวของละอองน้ำในบรรยากาศ ที่ควบแน่นและตกลงมา ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ ฝนค่ะ แต่จะแตกต่างตรงที่เมื่อละอองน้ำเจออากาศเย็นและมีความชื้นที่พอเหมาะ ก็เลยตกลงมาในรูปของผลึกน้ำแข็งนั่นเอง

ดังนั้นพื้นที่ที่จะเกิดหิมะได้ ก็จะต้องอยู่ใต้เส้น Tropic of capricron ในซีกโลกใต้ หรือ อยู่เหนือเส้น Tropic of cancer ขึ้นไปในซีกโลกเหนือ ซึ่งประเทศจีน รัสเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น อยู่เลยเส้นนี้ จึงมีหิมะตกได้ ส่วนประเทศไทยของเราล่ะ อยู่ตรงโซน Equator ซึ่งใกล้เส้นศูนย์สูตรพอดี๊พอดี ก็เลยไม่มีหิมะจ้า (ดูรูปประกอบด้านบน)

จริงหรือไม่ ?? หน้าหนาว ช่วยให้ผอมได้


ปัญหาเรื่องความอ้วน จะรู้สึก และเครียดมากขึ้น ก็ต่อเมื่อจะมีเจ้าก้อนเนื้อมาสิงอยู่รอบเอว รอบต้นขา จนมันแน่นและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แถมยังไม่ยอมไปง่ายๆ หลายคนเลือกกำจัดความอ้วนด้วยวิธีกินยาลดความอ้วนบ้าง ออกกำลังกายแบบหักโหมบ้าง หรือการเข้าซาวน์น่า ใช้ความร้อนลดไขมันบ้าง เพื่อให้ผอมเร็วๆ แต่รู้มั้ยว่า จริงๆ แล้ว ความเย็นก็ช่วยลดความอ้วนได้เหมือนกัน ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ พี่มิ้นท์ว่ายิ่งเข้าทางเลย


ปกติร่างกายมนุษย์มีเซลล์ไขมันอยู่ 2 ชนิด คือ เซลล์ไขมันชนิดสีขาว มีหน้าที่เก็บพลังงานไว้ให้ร่างกายใช้ และรอคำสั่งให้ปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ ดังนั้นถ้ามันถูกสะสมไว้ไม่มีวันถูกเผาผลาญ ก็จะกลายเป็นไขมันส่วนเกินที่ทำให้เราอ้วนนั่นเอง ไขมันชนิดนี้เจอได้ทั่วไป เพราะมันอยู่ใต้ผิวหนัง และรอบอวัยวะต่างๆ ทั้งรอบๆ ขา หรือช่องท้อง เป็นต้น


ส่วนเซลล์ไขมันอีกชนิดหนึ่ง คือ เซลล์ไขมันสีน้ำตาล มีหน้าที่ต่างจากเซลล์ไขมันสีขาว คือ จะคอยเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงานความร้อน และช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นเวลาอากาศหนาว น้องๆ เคยสังเกตมั้ย คนอ้วนมักจะไม่ค่อยหนาวเพราะประการฉะนี้นี่เอง ส่วนคนผอม ก็ได้แต่นั่งสั่น ปากสั่น มือสั่นกันไป


ภาพเซลล์ไขมัน


เซลล์ไขมันสีน้ำตาลนี้พบครั้งแรกในวัยทารก แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า มันจะลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น และสิ่งที่สัมผัสได้ต่อมา ก็คือ ความล้น และรูปร่างของร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น ตามพลังงาน
ที่ถูกสะสมไว้
ศาสตราจารย์อเล็กซานเดอร์ ไฟเฟอร์ แห่งมหาวิทยาลัยบอนน์ ได้อธิบายว่าไขมันสีน้ำตาลเพียง 50 กรัม สามารถกำจัดไขมันสีขาวได้ถึงปีละ 5 กิโลกรัม แต่ว่าไขมันสีน้ำตาลจะต้องได้รับการกระตุ้นให้ทำงานก่อน นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามหาวิธีแปลงไขมันสีขาวให้เป็นพลังงานสีน้ำตาล ซึ่งน่าจะเป็นทางนึงที่แก้ปัญหาโรคอ้วนได้
วาวเทอร์ ฟอน มาร์เคน ลิกเตนเบลต์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมาสตริกท์ เชื่อว่า ความเย็นนี่แหละที่เป็นตัวกระตุ้นไขมันสีน้ำตาลตามธรรมชาติ แถมยังได้ทำการทดลองที่น่าสนใจไว้อีกด้วย


ภาพสแกน แสดงไขมันสีน้ำตาล (แสดงด้วยสีดำ) ของผู้ชายที่อยู่ในที่ที่มีอากาศหนาวเย็น (ขวา) และชายที่อยู่ที่อุณหภูมิห้อง (ซ้าย)


จากการทดลอง เขาได้ให้ชายที่มีน้ำหนักเกิน กับ ชายที่มีน้ำหนักปกติ เข้าไปอยู่ในห้องอุณหภูมิ 16 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลการทดลองที่ออกมาก็คือ ชายที่มีน้ำหนักปกติจะพบว่าเซลล์ไขมันสีน้ำตาลทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิม สำหรับชายที่มีน้ำหนักเกิน ก็พบว่าอากาศเย็น สามารถกระตุ้นการทำงานของไขมันสีน้ำตาลได้เหมือนกัน เพราะว่าไขมันสีน้ำตาลจะช่วยเผาผลาญไขมันเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่ต่ำลง แต่พอกลับมาอยู่ในอุณหภูมิห้อง พบว่าไขมันสีน้ำตาลนั้นไม่ทำงาน ดังนั้นอาจจะพอพูดได้ว่า ความเย็นสามารถแก้ปัญหาโรคอ้วนได้ด้วยการกระตุ้นให้เซลล์ไขมันสีน้ำตาลทำงาน


ใครที่คิดจะควบคุมน้ำหนัก ก็คงได้วิธีใหม่ๆ โดยใช้แนวคิดที่ว่า ไขมันก็สามารถกำจัดไขมันได้ คือ การแปลงไขมันสีขาวให้เป็นไขมันสีน้ำตาล เพราะ เซลล์ไขมันสีน้ำตาลมีสรรพคุณอันยอดเยี่ยม ถ้าได้รับการกระตุ้นที่ดี ก็จะกลายเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องไปอดอาหารให้ร่างกายอ่อนแอลงอีก ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงอากาศเย็นได้ที่เลย ใครที่คิดจะลดน้ำหนักก็ลองหันมาใช้ชีวิตท่ามกลางความเย็นให้คุ้มหน่อย ถ้ายังมัวแต่นอน(เพราะมันสบาย) ต่อไป นอกจากน้ำหนักจะไม่ลดแล้ว อาจจะทำให้อ้วนมากขึ้นกว่าเดิม

แสงไฟแบบไหนเหมาะใช้อ่านหนังสือ?

แสงไฟแบบไหนเหมาะใช้อ่านหนังสือ?

เช็ค “แสงไฟ” ในห้องอ่านหนังสือ เลือกใช้ถูกหลักหรือไม่ พร้อมวิธีแก้ไขควรปฏิบัติ ช่วยถนอม “สายตา” บอกลา “อาการตาเพลีย”



หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลังอ่านหนังสือ มักปวดรอบ ๆ ตา และหน้าผาก ตาพร่ามัว ตาลายเป็นพัก ๆ เคือง แสบ หรือ มีน้ำตาไหลร่วมด้วย นั่นเป็นสัญญาณของอาการ “ตาเพลีย” ซึ่งมักเกิดจากการใช้สายตาขณะแหล่งแสงไม่เพียงพอ ดังนั้น เพื่อดวงตาคู่สวยทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพไปนาน ๆ การเลือกใช้แสงไฟอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น

สำหรับ “แสงจากธรรมชาติ” ควรเลี่ยงแสงสว่างจ้า เพราะจะทำให้สายตาอ่อนล้า หากมืดเกินไปก็เป็นปัจจัยทำสายตาสั้นได้เช่นกัน จึงควรหาโคมไฟติดไว้ เพื่อช่วยปรับแสงให้พอดีกับสภาพแวดล้อมแต่ละวัน



หากเป็น “แสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะ” ควรใช้หลอดที่มีแสงสีนวล เลี่ยงแสงสีขาว หรือ เหลืองเกินไป เพราะจะทำให้แสงแยงตา ทั้งนี้ เพื่อการมองตัวหนังสือได้แจ่มชัด แสงที่ตกสะท้อนจากกระดาษไม่ตกเข้าตา ควรจัดวางตำแหน่งโคมไฟให้แสงเข้าด้านข้างซ้ายมือจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ช่วยให้อ่านได้สบายตา และนานขึ้น ทั้งยัง เป็นการลบเงาที่จะเกิดขึ้นด้วย

นอกจากนั้น ควรเลี่ยงอ่านหนังสือในบริเวณที่เป็น “แสงไฟกระพริบ” เพราะจะส่งผลให้ประสาทตาเสียเร็ว เนื่องจากถูกกระตุ้นตามจังหวะกระพริบของแสงนั่นเอง.

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

4 วิธีพัฒนา “อีคิว”

4 วิธีพัฒนา “อีคิว”


สู่วิถีผู้มี “สุขภาพจิตดี” ช่วยการดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ มีสุข เพียงหมั่นฝึกทักษะ 4 วิธี

นอกจากไอคิว (I.Q.) แล้ว ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว (E.Q.) ถือเป็นส่วนสำคัญต่อวัยเรียนอย่างมาก ซึ่งการเข้าใจ รู้จักแยกแยะ ควบคุม และแสดงอารมณ์ถูกต้องตามกาลเทศะได้นั้น จะช่วยเสริมสุข สร้างสมดุลของชีวิต ทั้งยังสามารถเผชิญความคับข้องใจ และแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างราบรื่น โดยทักษะดังกล่าว สร้างได้ง่าย ๆ ดังนี้


เริ่มจาก “ฝึกสมาธิ” จะช่วยจัดระเบียบความคิด ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ ทำให้มั่นคงทางอารมณ์ สงบ หนักแน่น เยือกเย็น ทั้งยังคลายเครียด เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการศึกษาเล่าเรียน นอกจากนั้น การออกกำลังกาย เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ ก็เป็นผลดีเช่นกัน

“ฝึกระงับอารมณ์” ยามเจอสถานการณ์ตึงเครียด ด้วยวิธีต่าง ๆ อาทิ กำหนดลมหายใจให้สติอยู่กับตัว โดยหายใจเข้า-ออกยาว ๆ, นับ 1-10 หรือ นับต่อเรื่อย ๆ จนรู้สึกสงบ หรือ ปลีกตัวออกมาชั่วคราว เป็นต้น ซึ่งหัวใจหลักคือ ต้องรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่สามารถควบคุมความโกรธนั้นได้ และหาวิธีจัดการอย่างเหมาะสม

“ละทิ้งพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ” และค่อย ๆ ปรับปรุงตนเอง รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ฝึกเป็นผู้พูด-ผู้ฟังที่ดี และไม่ลืมที่จะใส่ใจความรู้สึกผู้อื่น

“ยอมรับความบกพร่อง” เนื่องจากสิ่งที่หวังอาจไม่เป็นอย่างที่คิด 100% ดังนั้น ทักษะข้อนี้ จะช่วยให้ไม่เครียด ไม่ทุกข์ ไม่ผิดหวังมากเกินไป ขณะเดียวกัน ลองมองเป็นความท้าทาย เพื่อสร้างพลังใจต่อสู้กับอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้

ทักษะข้างต้น เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนให้เกิดได้ เหมาะอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตท่ามกลางวิกฤติปัญหาปัจจุบัน

เทคนิคการใส่เสื้อผ้าสีสด


เทคนิคการใส่เสื้อผ้าสีสด

1. เริ่มจากลองชิ้นสีสดชิ้นเล็กๆ พวกเครื่องประดับทั้งหลาย เติมแต่งลงบนร่างกายก่อน เป็นต้นว่า ผ้าพันคอ เข็มขัด รองเท้า กระเป๋า สร้อยคอ เป็นต้น จากนั้นค่อยเลื่อนลงมาเป็นกางเกง กระโปรง มิกซ์กับสีดำ สีขาว หรือสีนู้ด แล้วค่อยปรับประดับเป็นใส่ทั้งชุด

2. หากที่ผ่านมาชอบใสแต่สีขรึมๆ หรือโทนพาสเทลหวานๆ ลองค่อยๆ เปลี่ยนลุค เข้าสู่โทนสีสดทีละน้อย โดยเริ่มจากใส่สีโทนเข้มก่อน อย่างสีน้ำเงิน สีม่วง สีเขียว จากนั้นจึงปรับสู่สีโทนสว่างอย่างสีส้มสดหรือสีเหลืองสด

3. ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดสีพื้นตลอด อาจเปลี่ยนเป็นชุดผ้าพิมพ์ลายสีสด ผสมกับผ้าพื้นเพื่อช่วยให้เกิดความสนุกสนานในการแต่งตัวยิ่งขึ้น

4. การใส่สีสดจัดนั้นไม่จำเป็นต้องใส่เฉดสีเดียวกันทั้งชุด ถ้าจะให้ดูมีรสนิยม เราอาจจับมิกซ์สีต่างเฉดอ่อนเข้มไม่เท่ากันในชุดเดียว เพื่อให้เกิดเลเยอร์และดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น


อาหารที่ช่วยลด ความอยากอาหารได้

อาหารที่ช่วยลด ความอยากอาหารได้

ถ้าคุณรู้สึกว่า การควบคุมตัวเองไม่ให้หยิบช็อกโกแลต หรือคุกกี้รับประทานนั้นเป็นเรื่องแสนยาก รวมทั้งอาการอยากอาหารไม่หยุดหย่อน การรับประทานอาหารที่จะแนะนำนี้ รองท้องหรือระหว่างมื้อ จะช่วยลดความอยากอาหารได้มากขึ้นค่ะ

ถั่ว


แบบที่มีชื่อว่า Pine nute ช่วยระงับฮอรโมนความอยากอาหาร ที่ชื่อว่า Cholecystokinin (CKK) ดังนั้นจึงแนะนำว่า ให้โรยในสลัด พาสต้าโฮลวีท หรืออาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ถ้าหาถั่วชนิดนี้ไม่ได้ ใช้ "อัลมอนด์" แทนได้ เพราะมีปฎิกิริยาขัดขวางการดูดซึงไขมันในร่างกาย ช่วยให้ลดน้ำหนักได้

อาหารร้อน


เช่น ซุป และน้ำชา ด้วยอุณหภูมิที่สูงทำให้ความอยากอาหารลดต่ำลง ดังนั้น ก่อนมื้อหนัก ควรรับประทานซุป หรือน้ำชา ถ้าได้จิบชาเขียวร้อน บอกกันว่า จะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญให้ดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ

แอปเปิ้ล



มีไฟเบอร์มากกว่าพืช องุ่น และส้มเสียอีก ซึ่งไฟเบอร์ช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม ป้องกันการรับประทานมากจนเกินพอดี เพราะฉะนั้นจึงมีคำแนะนำให้รับประทานแอปเปิ้ลก่อนมื้อค่ำค่ะ

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคฝึกสำเนียงอังกฤษเลิศ



พูดคล่องลื่นไหล ออกเสียงสูงต่ำหนักเบาเหมาะสม เรียนรู้กันได้ เพียงหมั่นฝึกทักษะ 4 ข้อ

เริ่มจาก “ฟังบ่อย ฟังเยอะ ฟังหลากหลาย” เริ่มจากสิ่งใกล้ตัว เช่น เพลง ภาพยนตร์ ข่าว จะพบความแตกต่างของภาษา และเห็นการใช้รูปปากเพื่อออกเสียงคำต่างๆ โดยในช่วงแรก “เน้นฟังการออกเสียง สังเกตอารมณ์ความรู้สึกก่อน” ใช้เวลาประมาณวันละ 1-2 ชั่วโมง เพื่อสร้างความเคยชินกับภาษา และโครงสร้าง จากนั้น ซื้อหนังสือบทสนทนามาฝึกอ่าน แล้วออกเสียงตามซีดี

“พกดิกชันนารีติดตัว” ควรเลือกใช้แบบช่วยเสริมภาษา ที่แสดงการถอดเสียงคำอ่าน มีตัวอย่างการใช้คำ ประโยค/วลีค่อนข้างมาก พร้อมคำแปลภาษาไทย เพื่อสะดวกต่อการทำความเข้าใจ และตีความอย่างถูกต้อง

สุดท้าย “ช่างสังเกต” จากคำศัพท์ที่รู้อยู่แล้ว หากเจ้าของภาษาออกเสียงต่างจากเรา สามารถจำมาฝึก แล้วแก้สำเนียงของคำนั้น ๆ ให้ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม การออกเสียงที่ถูกต้อง ใช้เสียงสูงต่ำเหมาะสม จะช่วยให้การพูดภาษาอังกฤษน่าฟัง และเข้าใจความหมายได้ชัดเจน ซึ่งทุกคนสามารถเก่งได้ เพียงหมั่นพัฒนาทักษะอย่างสม่ำเสมอ.

ทำไมเมืองไทยไม่มีหิมะตก



เคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมประเทศไทยไม่มีหิมะ ทั้งๆ ที่ ญี่ปุ่น เกาหลี ที่อยู่ทวีปเอเชียด้วยกัน กลับมีหิมะตกในช่วงหน้าหนาว (เวียดนามก็เคยตกมาแล้ว!!) วันนี้พี่มิ้นท์จะมาคลายปมให้หายสงสัยกันไปเลย

ทวีปเอเชียเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ตั้งบริเวณเส้นศูนย์สูตรไปจนถึงบริเวณขั้วโลกเหนือ อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 77 องศา 45 ลิปดาเหนือ ถึง 1 องศา 45 ลิปดาเหนือ และเส้นลองติจูดที่ 169 องศา 40 ลิปดาตะวันตก ถึง 26 องศา 4 ลิปดาตะวันออก โดยปกติเส้นละติจูดจะทำให้เรารู้สภาพอากาศของต่ำแหน่งประเทศนั้นๆ โดยตำแหน่งที่ตั้งที่มีค่าละติจูดต่ำ ก็จะมีอุณหภูมิสูงกว่าต่ำแหน่งพื้นที่ที่อยู่ละติจูดสูงกว่า เพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากกว่านั่นเอง ด้วยความกว้างขวางขนาดนี้ ทวีปเอเชียจึงมีความหลากหลายทางสภาพภูมิอากาศ เรียกว่ามีตั้งแต่ร้อนแห้งแล้งแบบทะเลทราย ไปจนถึงหนาวแบบขั้วโลก เลย



ยังจำได้ตอนเรียนวิชาภูมิศาสตร์ จะรู้ว่าประเทศไทยตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูด 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ ถึง 20 องศา 25 ลิปดาเหนือ เรียกว่า อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาเพียงนิดเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเขตร้อนชื้น โดยรวมอากาศมาตรฐานของไทยก็จะอบอ้าว สลับกันระหว่างร้อนกับฝนตก ถ้าร้อนก็จะร้อนตับแตก ถ้าฝนก็มีมรสุมหลายชนิด ถ้าหน้าหนาว ก็ให้ได้รู้สึกเย็นบ้างพอเป็นพิธี ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โดยภาคเหนือจะหนาวที่สุด ส่วนภาคใต้จะไม่ค่อยหนาว เน้นฝนตกอย่างเดียว หลังจากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตแบบร้อนๆ ตามเดิม

ด้วยสภาพภูมิอากาศแบบนี้ก็พอจะอธิบายได้ว่า เมืองไทยยังหนาวไม่พอที่หิมะจะตกลงมาได้ เพราะหิมะจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศที่อุณหภูมิต่ำประมาณ 0 องศา หรือถ้ามีฝนตกร่วมด้วยก็อาจจะไม่ต้องถึง 0 องศา เพราะบรรยากาศมีความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสม

ถ้าจะอธิบายง่ายๆ หิมะ ก็คือ การรวมตัวของละอองน้ำในบรรยากาศ ที่ควบแน่นและตกลงมา ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ ฝนค่ะ แต่จะแตกต่างตรงที่เมื่อละอองน้ำเจออากาศเย็นและมีความชื้นที่พอเหมาะ ก็เลยตกลงมาในรูปของผลึกน้ำแข็งนั่นเอง

ดังนั้นพื้นที่ที่จะเกิดหิมะได้ ก็จะต้องอยู่ใต้เส้น Tropic of capricron ในซีกโลกใต้ หรือ อยู่เหนือเส้น Tropic of cancer ขึ้นไปในซีกโลกเหนือ ซึ่งประเทศจีน รัสเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น อยู่เลยเส้นนี้ จึงมีหิมะตกได้ ส่วนประเทศไทยของเราล่ะ อยู่ตรงโซน Equator ซึ่งใกล้เส้นศูนย์สูตรพอดี๊พอดี ก็เลยไม่มีหิมะจ้า (ดูรูปประกอบด้านบน)

จริงหรือไม่ ?? หน้าหนาว ช่วยให้ผอมได้


ปัญหาเรื่องความอ้วน จะรู้สึก และเครียดมากขึ้น ก็ต่อเมื่อจะมีเจ้าก้อนเนื้อมาสิงอยู่รอบเอว รอบต้นขา จนมันแน่นและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แถมยังไม่ยอมไปง่ายๆ หลายคนเลือกกำจัดความอ้วนด้วยวิธีกินยาลดความอ้วนบ้าง ออกกำลังกายแบบหักโหมบ้าง หรือการเข้าซาวน์น่า ใช้ความร้อนลดไขมันบ้าง เพื่อให้ผอมเร็วๆ แต่รู้มั้ยว่า จริงๆ แล้ว ความเย็นก็ช่วยลดความอ้วนได้เหมือนกัน ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ พี่มิ้นท์ว่ายิ่งเข้าทางเลย


ปกติร่างกายมนุษย์มีเซลล์ไขมันอยู่ 2 ชนิด คือ เซลล์ไขมันชนิดสีขาว มีหน้าที่เก็บพลังงานไว้ให้ร่างกายใช้ และรอคำสั่งให้ปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ ดังนั้นถ้ามันถูกสะสมไว้ไม่มีวันถูกเผาผลาญ ก็จะกลายเป็นไขมันส่วนเกินที่ทำให้เราอ้วนนั่นเอง ไขมันชนิดนี้เจอได้ทั่วไป เพราะมันอยู่ใต้ผิวหนัง และรอบอวัยวะต่างๆ ทั้งรอบๆ ขา หรือช่องท้อง เป็นต้น


ส่วนเซลล์ไขมันอีกชนิดหนึ่ง คือ เซลล์ไขมันสีน้ำตาล มีหน้าที่ต่างจากเซลล์ไขมันสีขาว คือ จะคอยเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงานความร้อน และช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นเวลาอากาศหนาว น้องๆ เคยสังเกตมั้ย คนอ้วนมักจะไม่ค่อยหนาวเพราะประการฉะนี้นี่เอง ส่วนคนผอม ก็ได้แต่นั่งสั่น ปากสั่น มือสั่นกันไป


ภาพเซลล์ไขมัน


เซลล์ไขมันสีน้ำตาลนี้พบครั้งแรกในวัยทารก แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า มันจะลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น และสิ่งที่สัมผัสได้ต่อมา ก็คือ ความล้น และรูปร่างของร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น ตามพลังงาน
ที่ถูกสะสมไว้
ศาสตราจารย์อเล็กซานเดอร์ ไฟเฟอร์ แห่งมหาวิทยาลัยบอนน์ ได้อธิบายว่าไขมันสีน้ำตาลเพียง 50 กรัม สามารถกำจัดไขมันสีขาวได้ถึงปีละ 5 กิโลกรัม แต่ว่าไขมันสีน้ำตาลจะต้องได้รับการกระตุ้นให้ทำงานก่อน นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามหาวิธีแปลงไขมันสีขาวให้เป็นพลังงานสีน้ำตาล ซึ่งน่าจะเป็นทางนึงที่แก้ปัญหาโรคอ้วนได้
วาวเทอร์ ฟอน มาร์เคน ลิกเตนเบลต์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมาสตริกท์ เชื่อว่า ความเย็นนี่แหละที่เป็นตัวกระตุ้นไขมันสีน้ำตาลตามธรรมชาติ แถมยังได้ทำการทดลองที่น่าสนใจไว้อีกด้วย


ภาพสแกน แสดงไขมันสีน้ำตาล (แสดงด้วยสีดำ) ของผู้ชายที่อยู่ในที่ที่มีอากาศหนาวเย็น (ขวา) และชายที่อยู่ที่อุณหภูมิห้อง (ซ้าย)


จากการทดลอง เขาได้ให้ชายที่มีน้ำหนักเกิน กับ ชายที่มีน้ำหนักปกติ เข้าไปอยู่ในห้องอุณหภูมิ 16 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลการทดลองที่ออกมาก็คือ ชายที่มีน้ำหนักปกติจะพบว่าเซลล์ไขมันสีน้ำตาลทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิม สำหรับชายที่มีน้ำหนักเกิน ก็พบว่าอากาศเย็น สามารถกระตุ้นการทำงานของไขมันสีน้ำตาลได้เหมือนกัน เพราะว่าไขมันสีน้ำตาลจะช่วยเผาผลาญไขมันเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่ต่ำลง แต่พอกลับมาอยู่ในอุณหภูมิห้อง พบว่าไขมันสีน้ำตาลนั้นไม่ทำงาน ดังนั้นอาจจะพอพูดได้ว่า ความเย็นสามารถแก้ปัญหาโรคอ้วนได้ด้วยการกระตุ้นให้เซลล์ไขมันสีน้ำตาลทำงาน


ใครที่คิดจะควบคุมน้ำหนัก ก็คงได้วิธีใหม่ๆ โดยใช้แนวคิดที่ว่า ไขมันก็สามารถกำจัดไขมันได้ คือ การแปลงไขมันสีขาวให้เป็นไขมันสีน้ำตาล เพราะ เซลล์ไขมันสีน้ำตาลมีสรรพคุณอันยอดเยี่ยม ถ้าได้รับการกระตุ้นที่ดี ก็จะกลายเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องไปอดอาหารให้ร่างกายอ่อนแอลงอีก ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงอากาศเย็นได้ที่เลย ใครที่คิดจะลดน้ำหนักก็ลองหันมาใช้ชีวิตท่ามกลางความเย็นให้คุ้มหน่อย ถ้ายังมัวแต่นอน(เพราะมันสบาย) ต่อไป นอกจากน้ำหนักจะไม่ลดแล้ว อาจจะทำให้อ้วนมากขึ้นกว่าเดิม

แสงไฟแบบไหนเหมาะใช้อ่านหนังสือ?

แสงไฟแบบไหนเหมาะใช้อ่านหนังสือ?

เช็ค “แสงไฟ” ในห้องอ่านหนังสือ เลือกใช้ถูกหลักหรือไม่ พร้อมวิธีแก้ไขควรปฏิบัติ ช่วยถนอม “สายตา” บอกลา “อาการตาเพลีย”



หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลังอ่านหนังสือ มักปวดรอบ ๆ ตา และหน้าผาก ตาพร่ามัว ตาลายเป็นพัก ๆ เคือง แสบ หรือ มีน้ำตาไหลร่วมด้วย นั่นเป็นสัญญาณของอาการ “ตาเพลีย” ซึ่งมักเกิดจากการใช้สายตาขณะแหล่งแสงไม่เพียงพอ ดังนั้น เพื่อดวงตาคู่สวยทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพไปนาน ๆ การเลือกใช้แสงไฟอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น

สำหรับ “แสงจากธรรมชาติ” ควรเลี่ยงแสงสว่างจ้า เพราะจะทำให้สายตาอ่อนล้า หากมืดเกินไปก็เป็นปัจจัยทำสายตาสั้นได้เช่นกัน จึงควรหาโคมไฟติดไว้ เพื่อช่วยปรับแสงให้พอดีกับสภาพแวดล้อมแต่ละวัน



หากเป็น “แสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะ” ควรใช้หลอดที่มีแสงสีนวล เลี่ยงแสงสีขาว หรือ เหลืองเกินไป เพราะจะทำให้แสงแยงตา ทั้งนี้ เพื่อการมองตัวหนังสือได้แจ่มชัด แสงที่ตกสะท้อนจากกระดาษไม่ตกเข้าตา ควรจัดวางตำแหน่งโคมไฟให้แสงเข้าด้านข้างซ้ายมือจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ช่วยให้อ่านได้สบายตา และนานขึ้น ทั้งยัง เป็นการลบเงาที่จะเกิดขึ้นด้วย

นอกจากนั้น ควรเลี่ยงอ่านหนังสือในบริเวณที่เป็น “แสงไฟกระพริบ” เพราะจะส่งผลให้ประสาทตาเสียเร็ว เนื่องจากถูกกระตุ้นตามจังหวะกระพริบของแสงนั่นเอง.