วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

อยากสวยแบบธรรมชาติ 9 เคล็ดลับนี้เวิร์คสุดๆ

สาวๆ ทุกคนสมัยนี้เริ่มรักสวยรักงามกันตั้งแต่ยังเด็กๆ เมื่อเริ่มแตกสาวก็ต้องหาครีม และเคล็ดลับต่างๆเพื่อบำรุงความสวยกัน แต่!บำรุงอย่างไรจะให้สวยแบบธรรมชาตินั้น ลองวิธีเหล่านี้ดูกันนะคะ ^^




เริ่มต้นเคล็ดลับแรก คือ ทำสวยให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 เวลาทุกวัน ทุกครั้งที่ตื่นเช้าขึ้นมาก่อนไปทำงานหรือทำภารกิจต่างๆนอกบ้าน คุณต้องดูแลเรื่องความงามของตัวเองทุกครั้ง หลังจากนั้นพอทำภารกิจประจำวันเสร็จก็ควรตรวจดูความงามของตัวเองอีกครั้งให้สวยเหมือนตอนเพิ่งออกจากบ้านตอนเช้า

เคล็ดลับที่ 2 ความอยากสวยต้องเกิดในทุกวัน ผู้หญิงจำเป็นต้องดูแลตัวเองให้สวยอยู่ทุกวันไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนก็ตาม เพราะบางทีอาจจะไปสะดุดตาใครสักคนเข้าโดยที่เราไม่รู้ตัว และยังเป็นการบริหารเสน่ห์อย่างหนึ่งอีกด้วย

เคล็ดลับที่ 3 อัพเดทเทรนด์ความงามเสมอ อัพเดทเทรนด์ความงามไว้บ้างก็ดีจะได้รู้ว่าอะไรกำลังมาแรงไม่ได้ตกเทรนด์ แต่ก็ต้องรู้จักจับนู้นจับนี้มาเข้าคู่กันจะได้มีไอเดียเก๋ไก๋ ไม่ซ้ำใครที่เหมาะกับตัวเอง

เคล็ดลับที่ 4 สนุกกับชีวิตผ่านมุมมองที่ดี หัดทำตัวเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ เพราะการที่เรามองโลกในแง่ดีจะทำให้เรามีความสุขตลอดเวลา พอคุณคิดดี อารมณ์ก็จะดี และพลังแห่งความสุขในตัวคุณก็จะสะท้อนความงามให้เปล่งประกายออกมา

เคล็ดลับที่ 5 ห้ามขี้เกียจในการบำรุงรักษา อย่าสวยแต่เพียงภายนอก ผู้หญิงควรสวยจากภายในด้วย เพราะถ้าคุณเอาแต่แต่งหน้าสวยอย่างเดียว แต่ละเลยการบำรุงใบหน้า นั่นอาจทำให้คุณมีริ้วรอยเร็วขึ้น

เคล็ดลับที่ 6 ความสะอาดต้องมาก่อน หลังจากผ่านการทำงานเผชิญเรื่องราวต่างๆมาทั้งวัน พอกลับถึงบ้านเราต้องทำความสะอาดร่างกายทุกครั้งก่อนล้มตัวลงนอน เพราะเราเจอทั้งฝุ่น ควัน สิ่งสกปรกมาตลอดวัน

เคล็ดลับที่ 7 นอนหลับช่วยให้สวยขึ้นได้ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะทำให้คุณรู้สึกกระปี้กระเปร่า แถมผิวพรรณยังดี มีเลือดฝาด ดวงตาก็จะเปล่งประกายสุกใสอีกด้วย และถ้าคุณนอนตรงต่อเวลายังช่วยเผาผลาญไขมันได้ถึง 80 กรัมเลยทีเดียว

เคล็ดลับที่ 8 มีจุดเด่นต้องเอาออกมาโชว์ ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองมีจุดเด่นอะไรในร่างกาย ก็จัดการเน้นส่วนนั้นให้โดดเด่นเลยดีกว่า เช่น ฟันสวย เวลาคุณยิ้มก็ยิ้มอวดฟันสวยๆของคุณไปเลย แต่ทั้งนี้คุณก็ต้องรู้จักแต่งตัวให้เป็นด้วยนะ จะได้สวย ดูดีเป็นสองเท่า

ปิดท้ายด้วย ดูแลสุขภาพกาย-ใจให้แข็งแรง ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลอย่างน้อยปีละครั้ง ถ้ามีปัญหาอะไรจะได้รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะความสวยที่ดีที่สุด ก็คือการมีสุขภาพกาย และใจที่แข็งแรง ที่สำคัญต้องรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อตัวเอง

คุณเป็นคนแบบไหนใน Facebook




ประเภทของคนบน Facebook

เชื่อว่าหลายท่านคงจะเล่น Facebook กันมาพอสมควรจนทราบพฤติกรรมของเพื่อนๆเราบนเฟสบุ๊คแล้วว่าหลายคนมักจะโพส หรือเล่นเฟสบุ๊คกันอย่างไรจากการสังเกตดูโพสต่างๆบนหน้า News feed และนี่คือส่วนหนึ่งของประเภทของคนบน Facebook



ประเภทของคนบน Facebook

พวกทำตัวเป็นไก่ตัวผู้
- คือคนที่เข้ามาโพส "อรุณสวัสดิ์", "Good Morning" ในทุกๆวัน

พวกซุ่มเงียบ
- คือจะไม่โพสหรือคอมเม้นท์ใคร แต่จะอ่านทุกข้อความขอคนอื่นๆ หรือบางทีก็อาจจะพูดถึงเรื่องที่ได้อ่านจากเฟสบุ๊คเมื่อเจอกันจริงๆ

พวกหมาป่า (Hyena)
- คือจะไม่โพสอะไรนอกจากหัวเราะ "555″, "LOLs", "LMAOs (Laughing My Fat Ass Off)" เท่านั้นไม่ว่าจะเห็นใครโพสอะไร

เหมือนจะคนดัง
- คือคนที่มีเพื่อนเยอะมากๆ ราว 4 พันกว่าคนขึ้นไปถึงเกือบลิมิตของเฟสบุ๊คที่ให้มีเพื่อนได้สูงสุด 5 พันคน แบบว่าหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมมีเพื่อนเยอะแยะขนาดนั้นทั้งที่ไม่ได้เป็นคนดัง

พวกติดเกมส์
- คือคนที่เล่นแต่เกมส์และจะโพสแต่เรื่องเกมส์เพื่อให้ได้เล่นเกมส์ต่อไปในด่านต่างๆ ทั้งขอความช่วยเหลือ หรือแจกของในเกมส์ เป็นต้น

พวกชอบเยอะเย้ยถากถาง
- คือคนชอบบ่น วิจารณ์เรื่องราวชีวิตของผู้คนที่อ่านเจอ หรือไปพบเห็นมาต่างๆ นาๆ บนบสเตตัสตัวเองให้คนอื่นเห็น

พวกชอบติดตาม
- คือคนที่จะไม่เคยโพสอะไร แต่จะชอบเข้าไปเข้าร่วมกลุ่ม(Group)ต่างๆ หรือตามกดเป็นแฟนเพจ (Fan Page) ต่างๆมากมายเพื่อดู feeds

พวกชอบโปรโมท
- คือคนที่จะคอยส่งเชิญให้เข้าร่วมอีเว้นท์ต่างๆ ทั้งที่บางทีก็ไร้สาระและก็ทำให้เกิดความรำคาญแก่คนอื่นได้

พวกชอบ Like
- คือจะไม่คอมเม้นท์แต่ขอกด Like อย่างเดียวไม่ว่าใครจะโพสอะไร

พวกดราม่า
- คือจะชอบสร้างกระแส ไม่ชื่นชมอะไรง่ายๆ ไม่เชื่อใครง่ายๆ ใครว่าดีก็มักจะต้องโพสแย้งขัดไปซะหมด หรือก็จะโพสอะไรที่ไม่กระจ่าง ไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวอะไรให้จบ ชอบสร้างกระแสให้คนอยากถามต่อ เพ้อฝันไปเรื่อยเปื่อย

พวกบ้าข่าว
- คือจะอัพเดทข่าวสารตลอดเวลา อะไรมาใหม่ อะไรเกิดขึ้นใหม่ ต้องรีบมาแชร์ก่อน

พวกชอบขโมย
- คือจะนำเอาข้อความโพสของคนอื่นๆมาโพสเป็นของตัวเอง ทั้งที่ตัวเองไม่ได้คิดเอง

10 วิธีคลายร้อน ,,เจ๋งอย่างไม่น่าเชื่อ




1. ใช้เย็นเตร็กซ์
(อ่ะ งงดิ งงดิ)
แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นหนอง พุพอง ใช้เย็นเตร็กซ์ แค่ชื่อเย็น ก็มีผลกับจิตใจได้จริงๆ ไม่น่าเชื่อ .. เจ้าของเดียวกัน "โทนาฟ"

2. กินเย็นตาโฟ
ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อ.... งี้ ต้องลอง

3. อย่าเล่นกับไฟ
ไฟมันร้อน อีกทั้งการเล่นกับไฟเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยง แต่ถ้าต้องการหาอะไรมาเล่นจริงๆ แนะนำให้ช่วงนี้เล่นของสูงแทน อย่างที่รู้กันว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว การเล่นของสูงน่าจะช่วยคุณได้ (ยกเว้นกรณีการเล่นไฟเย็น ซึ่งแม้ไม่ช่วยให้เย็นขค้นแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ได้ทำให้ร้อน)

4. กางๆ หุบๆ ร่ม
ตอนกางยังไม่เท่าใหร่ แต่ลงสังเกตตอนหุบร่ม จะมีลมเบาๆ ใต้ร่ม ถ้าอยากได้ลมแรงๆ ก็ต้องหุบร่มแรงๆ

5. งดใส่เสื้อแขนยาว เสื้อกันหนาว รวมถึงการใช้ผ้าพันคอ
แม้ว่าแทรนจากลอนดอน แป..รีส หรือ นิวย๊อร์ค กำลังมาแรง แม้ว่าสวมใส่จะดูดี มีชาติตระกูล แต่จงอย่าลืมว่า คุณอยู่เมืองไทย ไท๊ยแล่นด์ ที่เป็นเมืองร้อน ที่สำคัญ ฤดูร้อนเมืองเค้า บางทียังเย็นกว่าฤดูหนาวบ้านเราอีกนะ

6. ทานผงชูรสต่างข้าว
เชื่อกันว่า การกินผลชูรสมากๆ จะช่วยให้ผมร่วง และอาจถึงหัวล้านได้ในที่สุด ซึ่งจะช่วยคลายร้อนได้โดยไม่ต้องเสียเวลาตัดผมอีกต่อไป แต่ระวังอาการน้อยใจที่จะตามมาด้วยนะค๊า

7. ฟังเพลงของไอซ์ ศรัญญู
แค่ชื่อก็เย็นแว้วว ประกอบกับเสียงนุ่มๆ หน้าหวานๆ ของพี่ไอซ์ ที่แม้จะทำให้หัวใจของใครหลายคนต้องละลาย แต่เวลาได้ยินเพลงของพี่ไอซ์ทีไร เรากลับรู้สึกเย็นสบาย ไม่เหมือนใคร

8. เป็นทอง
จะได้ไม่รู้ร้อน

9. ก่อหนี้
ใครไม่เคยให้ลองดู แล้วจะรู้... level ความหนาวก็ไล่ไปตามความเก๋า ของสถาบันเจ้าหนี้ คิคิ..

10. อั้นขี้ (ขออภัย ที่ใช้คำมิสุภาพ)
ต่อให้อากาศจะอบอ้าวแค่ไหน เมื่อถึงจุดหนึ่ง คุณจะยะเยือกจนขนลุก และขนลุก เป็นระลอกๆ เกิดเป็นความหนาวแปลกๆ ชนิดหนึ่ง สันนิษฐานว่า อาการเช่นนี้เองที่เรียกกันว่า ..หนาวขี้!!

12 ราศี กับสิ่งนำโชค

12 ราศี กับสิ่งนำโชค




ราศีเมษ
21 มีนา - 20 เมษา
ราศี เมษ มีดาวอังคารเป็นดาวที่คอยปกปักรักษาอยู่จึงได้รับอิทธิพลจากเทพเจ้าผู้ บุกเบิกดาวดวงนี้ซึ่งเต็มไปด้วยพละกำลัง ชาวเมษจึงเป็นผู้มีพลังแกร่งกล้าตั้งใจจริงกล้าหาญ และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างไม่หวาดหวั่น และดูเป็นหนุ่มสาวอย่เสมอ
สิ่งนำโชคคือ ของกระจุกกระจิกสีส้ม แดง และทอง อาหารที่เหมาะกับร่างกายคุณคือมะเขือเทศ
เลข 9 อักษร I,R ดอกเดซี่ ผ้าพันคอ และกางเกง 3 ส่วน

===========================================================
ราศีพฤษภ
21 เมษา - 21 พฤษภา
ดาว ที่ปกปักรักษาราศีนี้อยู่คือดาวศุกร์ โดยเทพวีนัสผู้สดสวยอ่อนหวาน และเต็มไปด้วยความรัก ความงามและความรักอันลึกซึ้งเปี่ยมล้นของเทพวีนัสนี้ส่งผลให้คุณมีรอยยิ้ม ที่น่ารักและจิตใจที่มีเมตตากรุณากับทุกๆคน และมีความรักให้มวลมนุษย์อย่างเหลือเฟือ
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีฟ้า ชมพู และครีม ผักชีจะเป็นอาหารที่ทำให้ร่างกายคุณแข็งแรงและได้รับสารอาหารอย่างสมดุล
เลข 7 อัษร G,Y สลัดซีฟู้ด หอประชุมแสดงคอนเสิร์ต และกระโปรงเอี๊ยม

==========================================================
ราศีเมถุน
22 พฤษภา - 21 มิถุนา
ดาว พุธเป็นดาวที่คอยดูแลปกป้องราศีนี้อยู่ ส่วนเทพผู้พิทักษ์ราศีนี้ ได้แก่เทพเมอร์คิวรี่ ผู้มีพรสวรรค์และความสามารถในการประพันธ์ เป็นนายช่าง และมีวาทศิลป์ที่เลอเลิศ คุณจึงได้รับอิทพลนี้ทำให้คุณเป็นนักพูด นัก้เขียน และเป็นผู้รอบรู้ชนิดหาตัวจับยาก
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีเหลือง น้ำเงิน และเขียว อย่าลืมรับประทานผักกาดหอมให้มากๆ เพราะคุณควรได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ
เลข 4 อักษร D,M รถแข่ง ดาดฟ้า อาคาร นาฬิกาปลุก และเสื้อสูท

==========================================================
ราศีกรกฎ
22 มิถุนา - 23 กรกฎา
ดวง จันทร์เป็นดาวที่คอยปกปักรักษาราศีกรกฎ ส่วนเทพผู้พิทักษ์คือ ไดอาน่า เทพธิดาแห่งการล่าสัตว์และเกษตรกรรม ทั้งยังเป็นแม่ของลูกๆ จำนวนมากด้วย คุณจึงได้รับอิทธิพลนี้ตนเป็นคนที่จิตใจกว้างขวาง สุขุมเยือกเย็น และมีสัญชาตญาณของเพศแม่อยู่ถึงแม้จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีขาว ม่วงอ่อน และสีฟ้าน้ำทะเล คุณควรรับประทานพวกสาหร่ายทะเลให้มากๆ แล้วร่างกายคุณจะแข็งแรง
เลข 8 อักษร H,N กระจกแบบมีด้ามถือ บริเวณลานวัด เข็มขัดหนัง และเสื้อคอโปโล

===========================================================
ราศีสิงห์
24 กรกฎา - 23 สิงหา
ดวง อาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่คอยปกปักรักษาราศีสิงห์อยู่ ส่วนเทพผู้พิทักษ์ก็คือ เทพอะพอลโล ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความเข้มแข็งความหนุ่มความสาว และไฟแห่งชีวิต คุณจึงเป็นผู้หยิ่งทะนง ใจกว้าง และเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูง ทั้งยังชอบเป็นจุดเด่น จุดสนใจด้วย
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีส้ม แดง และทอง ลูกพลัม และส้มทุกชนิด จะทำให้คุณสามารถก้าวเดินไปสู่หนทางแห่งความสุขได้
เลข 3 อักษร K,U ขนมไพลูกพีช สวนสัตว์ นาฬิกาแบบหน้าปัดตัวเลข ดอกกุหลาบแห้ง ถุงเท้าลายขวางและเสื้อแจ็คเก็ต

==========================================================
ราศีกันย์
24 สิงหา - 23 กันยา
ดาว ที่คอยปกป้องดูแลราศีกันย์อยู่คือ ดาวพุธเช่นเดียวกับราศีเมถุน โดยมีเทพเมอร์คิวรี่เป็นเทพเจ้าประจำราศี รวมทั้งนิสัยพื้นฐานของราศีนี้ ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีมารยาทที่งาม สุภาพ เอาจริงเอาจัง พูดเก่ง และเขียนหนังสือได้สวย
สิ่งนำโชคคือ ของกระจุกกระจิกสีครีม สีเนื้อ และสีน้ำเงิน หรือฟ้า อาหารที่ดีต่อร่างกายคุณคือพวกมะนาว เลมอน
เลข 0 อักษร A ,S พิซซ่า ชั้นใต้ดิน สายสร้อยห้อยจี้ไม้กางเขน เสื้อแต็คเก็ตยีนส์ และดินสอ สีม่วง

============================================================
ราศีตุลย์
24 กันยา - 23 ตุลา
ดาว ที่คอยปกป้องดูแลราศีตุลย์นี้เช่นเดียวกับราศีพฤษภคือ ดาวพุธ เทพวีนัส ซึ่งเป็นเทพธิดาประจำดาวพุธนี้ได้มีอิทธิพลในด้านความงามและความรักต่อชาว ตุลย์ ทำให้ชาวตุลย์เกลียดสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม และยังมีจิตใจเที่ยงธรรม รักษาสมดุลของสิ่งของต่างๆได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีฟ้า เขียว และเหลือง สตรอเบอร์รี่จะเป็นผลไม้ที่นำโชคดีมาให้
เลข 6 อักษร F , O ระเบียง เข็มกลัดรูปดอกไม้ กลิ่นวานิลลาละกระโปรงมินิเข้ารูป

============================================================
ราศีพิจิก
24 ตุลา - 22 พฤศจิกา
ดาว ที่คอยปกปักรักษาราศีนี้อยู่คือ ดาวพลูโต มีเทพพลูโตเทพแห่งความลี้ลับ และซ่อนเร้นคอยพิทักษ์อยู่ คุณจึงได้รับอิทธิพลเหล่านี้ทำให้เป็นคนพูดน้อยไม่แดงตัวมักเก็บความเร่า ร้อนไว้ภายใน แต่มีเสน่ห์ดึงดูดอันเร้นลับน่าพิศวง
สิ่งนำโชคคือ ของกระจุกกระจิกสีเทา และดำ อาหารที่เหมาะสำหรับสุขภาพของคุณคือ ไข่เจียว
เลข 5 ตัวอักษร E , W ห้องสมุด ที่คาดผม กระโปรงพลีทและตะปูที่เป็นสนิม

=============================================================
ราศีธนู
23 พฤศจิกา - 22 ธันวา
ดาว ที่คอยปกปักระกษาราศีของคุณอยู่คือ ดาวพฤหัส โดยมีจูปิเตอร์เป็นเทพคอยพิทักษ์อยู่ เทพจูปิเตอร์เป็นเทพแห่งความรอบรู้และพรสวรรค์ทั้งมวล คุณจึงได้รับอิทธิพลให้เป็นคนรักอิสระ ทำอะไรตามใจชอบและมีความสามารถรอบตัวทีเดียว
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีม่วง แดง และส้ม แตงกวา จะเป็นอาหารที่ช่วยให้ร่างกายของคุณได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่
เลข 1 อักษร J , S กุ้งชุบแป้งทอด สวนสาธารณะขนาดใหญ่ แว่นกันแดด เสื้อไหมพรมมอร์แฮร์

=============================================================
ราศีมังกร
23 ธันวา - 20 มกรา
ดาว ที่คอยปกปักรักษาราศีมังกรอยู่ก็คือดาวเสาร์ ส่วนเทพผู้คอยพิทักษ์ดูแลคือเทพแห่งกาลเวลา เทพคลอนุส คุณจึงได้รับอิทธิพล ทำให้เป็นคนที่เที่ยงตรงไม่หักโหม มีเหตุมีผล และใช้ชีวิตอย่างถูกต้องคุ้มค่า
สิ่งนำโชคคือ ของกระจุกกระจิกสีดำ เทา น้ำตาลหม่น ถ้าคุณอยากมีความสุข ขอให้รับประทานหัวหอมเป็นประจำ
เลข 2 อักษร K , T สร้อยคอจี้รูปดาว ต่างหูมุก ตุ๊กตาหุ่นยนต์ ริมทะเล กางเกงตัวหลวมพอง

============================================================

ราศีกุมภ์
21 มกรา - 19 กุมภา
คุณ มีดาวยูเรนัสเป็นดาวที่คอยปกปักรักษาอยู่ และมีเทพยูเรนัสเทพเจ้าแห่งความรอบรู้เป็นเทพผู้คอยพิทักษ์ คุณจึงได้รับอิทธิพลดังกล่าวนี้ ทำให้เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชนิดที่ไม่มีใครจะคาดคิดได้ถึงและเป็รผู้มีความคิดแปลกๆใหม่ๆล้ำหน้าอยู่ เสมอ
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีฟ้า เขียว และเหลือง อาหารนำโชคคือ สลัดผัก
เลข 5 อักษร E , W สถานี เป้ที่เป็นทรงกระเป๋าเอกสาร แหวนอัญมณี สีดำ และกระโปรงยีนส์

============================================================
ราศีมีน
20 กุมภา - 20 มีนา
ดาว ที่คอยปกป้องดูแลราศีมีนคือ ดาวเนปจูน มีเทพผู้พิทักษ์ซึ่งมีอิทพลทำให้ชาวมีนเป็นผู้ที่เร้นลับ ในขณะเดียวกันก็ทรงพลังอำนาจ ไวต่อความรู้สึกและรับรู้กระแสจิตวิญญาณได้ดี
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีน้ำเงิน ขาวและสีอ่อนๆ องุ่น จะทำให้สุขภาพของคุณดีอยู่เสมอ
เลข 6 อักษร F , O น้ำผลไม้สด สวนดอกไม้ โบว์ หรือริบบิ้น ภาพถ่ายของบรรพบุรุษ หมอนเป็นสีๆ และเสื้อกันหนาวลายดอกไม้
============================================================

ทายนิสัยจากลำดับการเป็นลูก

ทายนิสัยจากลำดับการเป็นลูก




การเป็นลูกคนโต คนกลาง หรือคนเล็ก มีผลต่อนิสัยและการใช้ชีวิตคู่อย่างไรมาดูกันค่ะ

ลูกคนเดียว

ข้อดี :
เป็นคนที่มุ่งมั่นในการทำงาน รู้จักจัดระเบียบให้กับชีวิต มีความยุติธรรมและเป็นคนที่วางใจได้ มีความรับผิดชอบ

ข้อเสีย :
เป็นคนที่ค่อนข้างดื้อ เจ้าคิดเจ้าแค้น มักชอบเรียกร้อง และไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ทนต่อเสียงวิจารณ์ได้น้อยและค่อนข้าง sensitive



ลูกคนโต

ข้อดี :
เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ ต้องการมีอำนาจหรือโดดเด่นเหนือคนอื่น เป็นคนที่มีความเที่ยงตรงและตรงต่อเวลา คนที่เป็นลูกคนโต มักยึดความถูกต้องเป็นหลัก

ข้อเสีย :
มักเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย ชอบใช้อำนาจหรือบีบบังคับ เมื่อต้องการให้ใครทำอะไรให้ตัวเองบางครั้งก็มักวางตัวว่ารู้ไปเสียทุกเรื่องจึง มักผิดพลาดได้ง่าย เพราะไม่ค่อยไว้วางใจคนอื่น เหมือนกับที่วางใจตัวเอง



ลูกคนกลาง

ข้อดี :
เป็นคนที่น่าคบหา มีมนุษย์สัมพันธ์ดีและมักทำให้คนที่อยู่ด้วยมีความสุขชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนทะเลไร้คลื่น รักความสงบมีความเป็นมิตรให้กับคนรอบข้าง เป็นนักฟังที่ดี และมีความตั้งใจที่จะทำให้คนอื่นมีความสุข จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นนักแก้ปัญหาให้กับคนอื่นได้ดี

ข้อเสีย :
มีความกระตือรือร้นน้อยกว่าคนที่เป็นลูกคนโต และเนื่องจากต้องการเป็นที่ยอมรับของคนอื่น จึงมักทำให้คนที่เป็นลูกคนกลางพยายามทำตัวตามความต้องการของคนอื่น หรือทำให้คนที่คบรอบข้างมีความสุข จนเกินขอบเขต หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดไว้ จึงมักลงโทษตัวเอง หรือมองตัวเองในแง่ลบไป

ลูกคนเล็ก

ข้อดี :
มักเป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง มีความเป็นมิตรกับคนรอบข้าง เข้ากับคนได้ง่าย เป็นคนที่อบอุ่น น่าคบหาเป็นคนเปิดเผย จริงใจ

ข้อเสีย :
มักเบื่อง่าย ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ค่อนข้างเอาแต่ใจเมื่อคบหากับใคร ช่วงแรก ๆ ก็ดูน่าตื่นเต้นสนุกสนาน แต่เมื่อความสนุกสนานหมดไป ก็เหมือนงานเลี้ยงเลิกราการสร้างความสัมพันธ์ที่จริงจังและเป็นความสัมพันธ์ระยะยาวจึงดูเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ



คราวนี้มาดูเป็นคู่บ้างนะคะ

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนโต
น่าจะไปด้วยกันได้ยาก ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ หรือหัวแข็งด้วยกันทั้งคู่ ดูเหมือนเส้นทางชีวิตคู่ จะเต็มไปด้วยขวากหนามแห่งความไม่เข้าใจกัน

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนกลาง
จุดอันตรายของคนคู่นี้ อยู่ที่ว่าลูกคนกลาง มักจะเป็นคู่รักที่ดีของทุก ๆ คนแต่เมื่อมาเจอกับคนที่เป็นลูกคนโต ซึ่งมักชอบวางอำนาจ แม้ว่าคนที่เป็นลูกคนกลางจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามแต่นาน ๆ เข้าคนที่เป็นลูกคนกลาง ก็จะรู้สึกแย่ ๆ กับตัวเองและจะสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองลง ความพยายามที่จะทำให้คู่รักที่เป็นลูกคนโตชื่นชอบ ก็จะหมดไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากคนที่เป็นลูกคนกลางมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก ก็จะเป็นคู่ที่ไปด้วยกันได้ดีทีเดียว

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนสุดท้อง
จัดว่าเป็นคู่ที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวที่สุดเพราะคนที่เป็นลูกคนโต จะช่วยสอนให้คนที่เป็นลูกคนเล็กรู้จักการจัดระเบียบให้กับชีวิต ซึ่งช่วยให้แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ดี ในขณะที่คนที่เป็นลูกคนเล็ก ก็จะนำความสนุกสนานร่าเริงมาให้คนที่เป็นลูกคนโต ก็ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องซีเรียสนี่นา

คู่ที่เป็นลูกคนกลางทั้งคู่
คู่นี้อาจจะเป็นไปได้ 2 ทาง คือ หากคนหนึ่งมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนโต และอีกคนมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันทีเดียว แต่ถ้าหากทั้งคู่ เป็นคนที่ไม่ยืดหยุ่น ถึงแม้จะพอประคับประคองชีวิตคู่กันไปได้แต่ต้องเก็บงำความเจ็บช้ำไว้ข้างในตามนิสัย ของลูกคนกลางที่ไม่ค่อยพูดอะไรออกมาคู่นี้ไม่มีปัญหาเรื่องการนอกใจกัน



คู่ที่เป็นลูกคนกลางกับลูกคนสุดท้อง
ถ้าคนที่เป็นลูกคนกลาง มีลักษณะค่อนไปทางลูกคนโต คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน ดีแต่หากเป็นแบบลูกคนกลางจริง ๆ แล้ว ก็มักจะคล้อยตามให้เห็นดีเห็นงาม กับการใช้ชีวิตในสไตล์ของลูกคนเล็กคือ มักจะขาดความรับผิดชอบและมักสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นเนือง ๆ (เหมือนลูกคนเล็กของใครหว่า!) และถ้าเป็นลูกคนกลางที่มีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก แล้วละก็ ชีวิตคู่ดูจะยุ่งยากทีเดียว

คู่ที่เป็นลูกคนเล็กด้วยกันทั้งคู่
คนคู่นี้ค่อนข้างร่าเริง มองโลกด้วยความสนุกสนานแต่มักไม่ใช่พวกที่ชอบแก้ปัญหาเป็นคู่รักที่น่าอิจฉา แต่อาจจะเป็นคู่ชีวิตที่ไม่ยั่งยืนนัก

เมื่อคุณ ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลาย ทราบข้อดี ข้อเสียของลำดับลูกต่าง ๆ ดังนั้น คุณ ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายก็พิจารณาความเป็นตัวท่านเอง และ/หรือ คนรอบข้าง เพื่อจักได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขกันทั่ว ๆ กันนะ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปากแห้ง ลอกเป็นขุย มีวิธีจัดการค่ะ




มีแนะนำ 3 วิธีให้ลองเลือกใช้ตามความถนัดค่ะ

วิธีแรก :
1. เอาผ้าขนหนูแช่ในน้ำร้อนประมาณ 40 องศา จากนั้นบีบให้แห้งหมาดๆ
2. ประคบตรงริมฝีปากที่แห้งสัก 2-3 นาที หรือจนรู้สึกว่าผ้าเริ่มแห้ง
3. ค่อยๆ ถูริมฝีปาก หนังที่ติดอยุ่จะออกมาหมด หลังจากนั้นก็ให้ทาลิปครีม หรือ ลิปมันทันที จะทำให้ริมฝีปากไม่แห้ง และแลดูอิ่มเอิบ เวลาทาลิปสติกจะดูอิ่มเป็นเงางาม
4. คนที่ริมฝีปากซีด ดูแล้วเหมือนคนเป็นโรค เลือดน้อย ..ในกรณีเช่นนี้ต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารประเภทธาตุเหล็ก
5. คนที่มีริมฝีปากคล้ำ ถ้าเป็นคนผิวคล้ำก็ไม่มีปัญหา เพราะเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นคนผิวขาวแล้วมีริมฝีปากคล้ำ ก็เกี่ยวกับการไหลเวียนของโลหิตไม่ดีพอ หรืออีกสาเหตุก็มาจากการสูบบุหรี่เป็นประจำ ก็ทำให้คล้ำได้ จึงควรทาครีมบำรุงเป็นประจำ และนวดด้วย จะทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ปากจะอิ่มเอิบและไม่แห้งด้วย

วิธีที่สอง
- ให้ทาลิปบาล์มที่ริมฝีปาก
- แล้วนำเบบี้ไวท์มาถูออกเบาๆ
- หลังจากนั้นให้ทาลิปบาล์มอีกครั้งก่อนเติมลิปสีสวยๆ คู่ใจ

วิธีที่สาม
- น้ำน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง และ วาสลีน คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
- น้ำมาทาบนริมฝีปาก ถูเบาๆ
- เช็ดออกด้วยผ้าขนหนู หรือกระดาษทิชชู
- ทาลิปบาล์ม แล้วตามด้วยสีลิปโปรด

กินอย่างไร ไม่ให้กรน

กินอย่างไร ไม่ให้กรน




การกรน นอกจากเป็นที่น่ารำคาญต่อผู้อื่นแล้ว ยังเกิดผลเสียต่อตนเองอีกด้วย เพราะอาจเป็นทำให้เกิดของโรคต่างๆ มากมาย ทั้ง โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ หรือร้ายแรงถึงขั้นอัมพาต ดังนั้น เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการกินสำหรับผู้ที่นอนกรน เพื่อบรรเทาอาการนอนกรนในเบื้องต้นมาฝาก

สมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการช่วยเรื่องระบบทางเดินหายใจ เหมาะใช้ประกอบอาหารให้ผู้ที่นอนกรนรับประทาน คือ “หอมแดง” เลือกชนิดที่แก่จัดเพราะกลิ่นฉุนของมันจะทำให้เกิดความชุ่มชื้นในลำคอ และช่วยระบบการหายใจ จะได้ผลดียิ่งขึ้นถ้ากินแบบสด หรือจะนำมาดมก็ได้

“พริกขี้หนู” รสเผ็ดของมันจะทำให้ระบบทางเดินหายใจโล่ง สารแคปไซซินในพริกช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อรอบหลอดลม ทำให้ปัญหาการกรนอาจลดลงได้

“ขิง” ใช้ขิงแก่ประมาณ 5 กรัม ทุบให้แตก นำไปต้มน้ำดื่มก็จะช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้สะดวกขึ้นเช่นกัน และสุดท้าย “ใบแมงลัก” มีสรรพคุณในการแก้หวัด และโรคหลอดลมอักเสบ

อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้านอนประมาณ 3 ชั่วโมง ไม่ควรทานอาหารหนัก ๆ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายตอบสนองต่อภาวะการขาดออกซิเจนไม่ทัน จนอาจเสียชีวิตได้

ทั้งนี้ การกรนอาจเกิดขึ้นได้จากการนอนหลับไม่สนิท ลองดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอน เช่น นม น้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น หรือ น้ำสมุนไพรอุ่น ๆ สักแก้ว ก็จะทำให้นอนหลับได้สนิท และอาจลดปัญหาการกรนได้.

ตำนานศุกร์ 13 วันแห่งอาถรรพ์



เมื่อเอ่ยถึงวันศุกร์ 13 นั้นหลาย ๆ คนอาจจะนึกไปถึงวันแห่งอาถรรพ์ เพราะเคยมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า ศุกร์ 13 ฝันหวาน แต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาว่า ทำไมวันศุกร์ 13 ถึงเป็นวันที่ไม่ดี

ว่ากันว่า ความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตก โดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper) โดยเชื่อกันว่าในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)

ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่าวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส

ทั้ง นี้นักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวัน ศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

จน ทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือ friggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13

และ ที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ศุกร์ 13 ฝันหวาน หรือ "Friday the 13th" ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้ เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ

สำหรับความเชื่อเรื่อง ศุกร์ 13 เป็นวันไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อกันในหมู่ชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล

เมื่ออารมณ์ไม่ดี...ทำอย่างไรดีน้า

เมื่อคุณอารมณ์ไม่ดี คุณจะ …

1. ไปหาเพื่อนแล้วนั่งคุยกับเพื่อน

2. ชวนเพื่อนออกไปเที่ยวกันหลายๆ คน

3. ไปร่วมชุมนุมกับเพื่อน ๆ

4. นั่งอ่านหนังสือหรือฟังวิทยุอยู่ในบ้าน






เฉลย…ค่ะ



ไปหาเพื่อนและนั่งพูดคุยกับเพื่อน : แสดงว่าคุณต้องการ การปลอบประโลมจากเพื่อน คุณคิดว่าความสนิทสนมทางจิตใจ และอารมณ์มีความสำคัญกว่าการปรองดองสนิทสนมกันตามระเบียบพิธี จากอุปนิสัยของคุณ สามารถชี้ขาดได้ว่า เพื่อนของคุณจะมีไม่มากนัก แต่เพื่อนที่คุณคบ ต่างคือเพื่อนที่รู้ใจกัน

ชวนเพื่อนออกไปเที่ยวด้วยกันหลายๆ คน : คุณไม่เก่งในการจัดการ ในความต้องการของจิตใจและอารมณ์ของตนเอง ยามใดจิตใจเกิดอุปสรรค คุณก็จะออกเที่ยวกับเพื่อน ๆ เพื่อลืมปัญหาของตนเอง แต่นานวันเข้าจะก่อให้เกิดผลเสียต่อตัวคุณ หลักในการคบเพื่อนของคุณคือ ยึดหลักหมู่คณะเป็นหลัก น้อยนักที่จะคิดตริตรองว่า เพื่อนคนนี้สามารถคบกับตนเอง ด้วยความจริงใจได้หรือไม่

ไปร่วมชุมนุมกับเพื่อนๆ : การไปร่วมชุมนุมกับเพื่อน ๆ ขณะอารมณืไม่ดี แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คุณไม่คิดจะเผชิญปัญหาของตนเอง สำหรับคุณ เพื่อนคือเครื่องมือในการแสวงหาความสุข และเป็นเพียงวิธีการหลีกเลี่ยง การสำรวจตัวเองเท่านั้น สามารถกล่าวได้ว่า คุณอาจคบค้าสมาคมกับผู้อื่นมากมาย แต่ก็อาจเป็นแค่เพื่อนกิน ไม่มีเพื่อนที่รู้ใจแม้แต่คนเดียว

นั่งอ่านหนังสือหรือฟังวิทยุอยู่บ้าน : คุณจัดอยู่ในประเภทชอบสำรวจตัวเอง คุณมักจะคิดว่า ขณะอารมณ์ไม่ดีคือโอกาสที่ดีที่สุด สำหรับการหวนสำรวจตัวเอง คุณไม่ใช่คนโดดเดี่ยวและปิดตัวเอง เพียงแต่คุณไม่ชอบใช้แบบพิธีภายนอก มาแก้ไขปัญหาภายในจิตใจ

10 วิธี พิชิตปัญหาผมชี้ฟู




ผมชี้ฟู คือปัญหาที่สุดแสนจะกวนใจสาว ๆ ทำให้ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงเหมือนคนไม่ดูแลตัวเอง ทำให้เสียความมั่นใจไปมากเลยทีเดียว วันนี้เราจึงนำ 10 วิธี ในการพิชิตปัญหากวนใจนี้มาฝากกันค่ะ

1. สระผมแค่วันเว้นวันก็เพียงพอ

ปัญหาผมชี้ฟูมักเกิดขึ้นกับผู้ที่สระผมเป็นประจำทุกวัน แม้จะให้ความรู้สึกสะอาดหลังสระ แต่การสระผมก็ดึงเอาความชุ่มชื้นออกไปจากเส้นผมและหนังศีรษะด้วย ลองเว้นระยะการสระผมออกไปเป็นวันเว้นวัน(หรือมากกว่านั้น) เพื่อให้น้ำมันที่ผลิตโดยธรรมชาติจากหนังศีรษะได้หล่อเลี้ยงเคลือบเส้นผมบ้าง อันจะช่วยแก้ปัญหาผมชี้ฟูได้เป็นอย่างดี

2. ใช้คอนดิชั่นเนอร์ทุกครั้งหลังสระผม

ปัญหาผมชี้ฟูเกิดจากความชื้นในอากาศแทรกซึมเข้าสู่เส้นผม ทำให้เกล็ดผมที่ซ้อนตัวกันอยู่พองและเปิดออก อันเป็นที่มาของความชี้ฟูนั่นเอง การเติมความชุ่มชื้นให้เส้นผมด้วยคอนดิชั่นเนอร์ จะช่วยเคลือบปิดเกล็ดผมให้เรียบสนิท ป้องกันไม่ให้ได้รับผลกระทบจากความชื้นในอากาศนั่นเอง

3. ไม่ทำให้ผมแห้งด้วยการใช้ผ้าขนหนูขยี้ผม

การใช้ผ้าขนหนูเช็ดหรือขยี้บนเส้นผมเพื่อให้เส้นผมแห้งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะการทำเช่นนี้จะไปรบกวนการเรียงตัวของเกล็ดผม ทำให้เมื่อผมแห้งแล้วดูฟูได้ เลี่ยงปัญหานี้ด้วยการใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ซึ่งมีความสามารถในการซึมซับน้ำได้ดี กดซับเพื่อดูดน้ำและความชื้นออกจากเส้นผมแทน

4. ปกป้องเส้นผมทุกครั้งก่อนการจัดแต่งทรงด้วยอุปกรณ์แต่งผมที่ให้ความร้อน

ความร้อนจากอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมต่าง ๆ ทั้งไดร์เป่าผม ที่หนีบผมตรง และแกนม้วนผมไฟฟ้า ทำให้ผมสูญเสียความชุ่มชื้น เปราะ และชี้ฟู ปกป้องเส้นผมของคุณก่อนปัญหาเช่นนี้จะเกิดขึ้น ด้วยการใช้เซรั่มหรือลีฟออนที่ช่วยปกป้องผมจากความร้อนทุกครั้งก่อนการจัดแต่งทรง

5. ใช้ไดร์เป่าผมไอออนิก

ไดร์เป่าผมแบบไอออนิกให้ความแตกต่างกับเส้นผมมากกว่าการใช้ไดร์เป่าผมลมร้อนทั่วไป เพราะไดร์ชนิดไอออนิกจะปล่อยไอออนที่ถนอมเส้นผมมากกว่า ไม่ทำให้ผมแตกปลาย อันเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมชี้ฟูนั่นเอง

6. พรางผมชี้ฟูด้วยแกนม้วนผมไฟฟ้า

การพรางผมส่วนปลายที่ชี้ฟูด้วยแกนม้วนผมไฟฟ้า นอกจากจะช่วยจัดทรงให้ผมดูเป็นระเบียบมากขึ้นแล้ว ยังช่วยทำให้เกล็ดผมเรียงตัวเป็นระเบียบขึ้นด้วย วิธีการคือเป่าผมด้วยลมเย็นให้แห้งก่อน แล้วจึงม้วนผมส่วนปลายด้วยแกนม้วนผมไฟฟ้า โดยแค่ม้วนเบา ๆ ไม่ทิ้งเอาไว้นาน เท่านี้ก็ช่วยแก้ปัญหาผมชี้ฟูไปได้ง่าย ๆ แล้ว

7. ใช้เซรั่มบำรุงผมที่มีส่วนผสมของซิลิโคน

ซิลิโคนเซรั่มจะเข้าเคลือบเส้นผมและปิดเกล็ดผมให้เรียบสนิท ทำให้ผมไม่ชี้ไม่ฟู วิธีการใช้ให้บีบเซรั่มลงบนมือ ขยี้ให้กระจายตัว แล้วใช้มือนั้นสางผม หรือจะหยดลงบนหวีซี่ห่างแล้วใช้หวีผมก็ได้ จากนั้นปล่อยให้ผมแห้งตามธรรมชาติ หรือจัดแต่งทรงด้วยไดร์เป่าผม

8. บำรุงผมด้วย ฮอต ออยล์ ทรีตเม้นท์ ทุกสัปดาห์

เนื่องจาก ฮอต ออยล์ มีเนื้อที่บางเบากว่าครีมมาส์ก จึงไม่ต้องกังวลว่าผมจะดูลีบติดหนังศีรษะ และใช้กับผมความยาวตั้งแต่บริเวณใบหูลงมาเท่านั้น ลองเลือกใช้ ฮอต ออยล์ ที่มีส่วนผสมของน้ำมันโจโจบา อันจะช่วยให้เกล็ดผมแข็งแรงขึ้น ป้องกันโอกาสที่จะเกิดผมชี้ฟูในระยะยาวได้ด้วย

9. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

สเปรย์ฉีดผมหรือมูสใส่ผม มักมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อช่วยให้แห้งได้ไวขึ้น แต่แอลกอฮอล์ที่ระเหยไปก็ดึงเอาความชุ่มชื้นออกไปจากเส่นผมด้วยเช่นกัน เมื่อผมแห้งก็ทำให้ดูฟูได้ เพราะฉะนั้นเปลี่ยนไปเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อถนอมเส้นผมและลดความชี้ฟูดีกว่า

10. เปลี่ยนผมชี้ฟูให้ดูดีขึ้นด้วยสเปรย์เพิ่มประกายเงางาม

ฉีดสเปรย์ที่ช่วยเพิ่มความเงางามให้กับเส้นผมลงบนหวีแปรง แล้วใช้หวีนั้นสางเส้นผมจนจรดปลาย ผมที่เคยชี้ฟูก็จะดูเรียบและเงางามมากขึ้น ทำให้สาว ๆ ปล่อยผมได้อย่างมั่นใจ

ตัวอย่างการเซ็นสําเนาถูกต้อง

วิธีเซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง...รู้ไว้ไม่เป็นหนี้

บางคนอาจใช้ขีดเส้นขนาน แล้วเขียนข้อความ / เซ็นรับรอง

วันนี้ เอาวิธีเซ็นชื่อรับรองสำเนาที่ถูกต้อง มาแบ่งปันให้คุณรู้ไว้จะได้ไม่เป็นหนี้ เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ประมาทไม่ได้เลยล่ะ เพราะหากเซ็นไม่ถูกวิธีแม้เพียงนิดเดียว คุณอาจตกเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวจากผู้ที่ไม่ประสงค์ดีที่นำเอาเอกสารสำเนาบัตร ประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือสำเนาเอกสารสำคัญอื่นๆ จากการเซ็นรับรองของเราไปทำประโยชน์ส่วนตน แต่สร้างหนี้ที่ไม่ได้ก่อให้กับเรา ดังนั้นจึงขอแนะนำว่า ทุกครั้งหากต้องเซ็นเอกสารรับรองสำเนาอย่าลืม ...จำ...และทำตามขั้นตอนต่อไปนี้นะ

ตัวอย่าง




1) ทุกครั้งหลังจากเซ็นชื่อ และเขียนรับรองสำเนาถูกต้องแล้ว ต้องเขียนรายละเอียดกำกับไว้ด้วยว่า..เอกสารฉบับนั้นใช้สำหรับทำอะไร เช่น "ใช้เฉพาะสมัครงานเท่านั้น"


2) นอกจากกำกับรายละเอียดการใช้แล้ว ยังต้องกำกับ วัน/เดือน/ปี เขียนลงบนสำเนาที่ใช้ด้วยนะค่ะ ซึ่งนั่นจะช่วยกำหนดอายุการใช้งานสำเนาของเราได้


3) ต้องเขียนข้อความทั้งหมด ทับลงบนสำเนาส่วนที่เป็นบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน หรือสำเนาเอกสารอื่นๆ ที่สำคัญ ทั้ง สามข้อคือวิธีเซ็นที่ถูกต้องในการรับรองสำเนาอย่างรัดกุม ไม่เปิดช่องทาง ให้กับมิจฉาชีพ เอาไปสร้างหนี้ให้กับเรา ต่อไปนี้ต้องระวัง เพราะคุณอาจเป็นรายต่อไป ที่จู่ๆก็มี หนี้ตามมาเคาะประตูถึงบ้าน รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมทำตามล่ะ


4) ในกรณี ที่เซ็นเอกสาร ต้องใช้ปากกาหมึกสีดำเท่านั้น ถึงจะปลอดภัยที่สุด เพราะ เครื่องถ่ายเอกสาร บางเครื่อง สามารถถ่ายเอกสารโดยดึงหมึกสีน้ำเงินออก เหลือใช้เฉพาะข้อความของบัตรประชาชน แล้วทำให้มิจฉาชีพ เซ็นเอกสารบัตรประชาชนนั้น แทนเราได้เลย

เพราะฉะนั้นเราควรเซ็นด้วยปากกาสีดำเท่านั้น เพราะไม่สามารถดึงหมึกสีดำออกได้ หรือถ้าดึงสีดำออกได้ข้อความก็จะหายไปหมดเลยทั้งหน้าบัตรประชาชน

อัพเดทศัพท์วัยรุ่น ปี 2012

วัยรุ่นถือเป็นวัยแห่งสีสัน ต้องการอิสระ ต้องการการยอมรับในสังคม ต้องการแสดงออกถึงความเป็นตัวตน เสื้อผ้าหน้าผมของพวกเขาจึงมีความเป็นเฉพาะกลุ่ม ชนิดที่บางครั้งผู้ใหญ่มองแล้วต้องเบือนหน้าหนีด้วยความรับไม่ได้

แต่นอกเหนือจากการแสดงตัวตนผ่านเสื้อผ้าหน้าผมแล้ว ภาษาก็ถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่วัยรุ่นใช้แสดงออกถึงตัวตนของพวกเขา หลาย ๆ คำอาจฟังดูแปลก ๆ คนนอกกลุ่มหรือผู้ใหญ่ ได้แต่ทำหน้าสงสัย เพราะไม่เข้าใจความหมาย

เพื่อลดความสงสัยของคนนอกกลุ่ม มติชนออนไลน์ ได้รวบรวมเอาคำศัพท์ฮิต ๆ ส่วนหนึ่ง พร้อมความหมาย ของกลุ่มวัยรุ่นมาไว้ที่นี่แล้ว




จิ้น = จินตนาการ ค่อนไปในทางชู้สาว เช่น "ฉันเห็น แมน กับ ต้น จับมือกันอะ เห็นแล้วจิ้นไปไกลเลยอะ"

ฟิน = เป็นอารมณ์ที่เห็นอะไรที่มัน “สุดยอด” เป็นอารมณ์สุดขีดในตอนนั้น

ปลวก = พวกอยู่ไม่นิ่ง ชอบเรียกร้องความสนใจให้ตัวเอง เหมือนปลวกที่ชอบสร้างรังตลอดเวลา และอาจรวมไปถึงพวกชอบจิกกัดคนอื่น

ติ่ง = แฟนคลับเกาหลีที่ไม่มีเหตุผล ไม่มีมารยาท ไม่สนใจความเป็นไปของโลกนอกจากศิลปินของตัวเอง

ซึน (ซึนเดเระ) = พวกไม่พูดตรงๆ ชอบเก็บอาการ เสแสร้ง

เฮียก = น่าเกลียด ขี้เหร่มาก

ขี้เม้ง = พวกที่ชอบวีน ขี้โวยวาย ด่าเก่ง ปากจัด หน้าตาบูดบึ้ง

อิม = มาจาก impossible หมายถึง พวกเด็กเรียน คือสามารถทำเรื่อง (เรียน) ที่ยาก ๆ ที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้

อีนี่หลายอย่าง = คนคนนี้เป็นทั้งผู้ชาย เกย์ กะเทย แต๋ว และตุ๊ด

อบกบ = ไม่ หล่อ

เกิร์ป = โง่ แบบ ควาย

ซับโบร๋ = หวัดดี

หน้าเงือก = หน้าตาไม่ดี

WannaBE = พวกจอมปลอม

งุ๊งงิ๊ง = รำคาญ น่าเบื่อ

เฟ่ย = ไม่ได้เรื่อง ไม่ดี

กระหลั่ว = เลว

สิ่งอัน = ทุกสิ่งทุกอย่าง

ป่วย = พวกที่ไม่ค่อยปกติ **

สลัมบอมเบย์ = ต่ำสุด ๆ

ไม่ใส่จิว = ไม่ใส่ใจจริง ๆ

หน้าผั๊ว = เกย์หน้าไม่สวย

โป๊ะแตก = ผู้ชายที่เผลอหลุดความเป็นสาวออกมา

ดัดจร = ดัจริต กะแดะ

เพื่อนปุก = ทอม

ชิซูกะ = ตะกละ กินไม่เลือก

แกสบี้ = แก่มาก ๆ

ออนป้า = แสดงความเป็นป้าสู่สายตาประชาชน

อวย = การที่ยกย่องคน ๆ นึงให้ดูดีเกินเหตุ เกินกว่าที่ควรเป็น

วันนี้โปร่ง = วันนี้ไม่ได้พาแฟนมาด้วย

วื่นวือ = วุ่นวายสุด ๆ

ห่าน = สวยมาก

สุย = หนุ่มที่แต่งตัวเห่ยมากไม่เข้ากาละเทศะ

จีว่า = เวลาเห็นใครแต่งตัวหรือแสดงออกเกินความจำเป็น

จี๊ด = สุดยอด เจ๋ง

ตึบ = สุดยอด เจ๋ง

G.B. = gereral เบ๊ คนรับใช้ทุกอย่าง

ดิ๊ว = ขโมย

ถ้วย ถัง กะละมัง หม้อ = ไร้สาระไปวัน ๆ

แอ๊ว = ยั่วยวนเพศตรงข้าม

นิ่งๆ ริงมายเบล = ไม่ทำอะไร อยู่เฉย ๆ ดีกว่า

องค์ลง หรือ มีองค์ = หมายถึงพวกขาวีน หรือพวกที่จู่ ๆ ก็เกิดอาการอารมณ์เสีย ของขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ถ้าผู้ชายมีองค์ หมายถึง ตุ๊ด กะเทย

สลิด = ดัดจริต

บุย บุย = บ๊าย บาย

ดิล (deal) = เข้าไปคุยจีบ

9 เรื่อง ที่วัยรุ่น อยากลบทิ้งไปจากโลกนี้

9 เรื่อง ที่วัยรุ่น อยากลบทิ้งไปจากโลกนี้

ถ้า เรื่องแย่ ๆ น่าเวียนเฮดทั้งหลายในโลกนี้ สามารถทำให้หายไปได้ง่ายๆ เหมือนการกด Backspace หรือ Delete จะดีแค่ไหนหนอ เอาแค่ 9 เรื่อง ที่ไอไลค์โพลคัดมาในฉบับนี้ถ้าหายไปได้หละก็… วัยรุ่นทั้งโลกก็คงแฮปปี้ดี๊ด๊ากระชุ่มกระชวยขึ้นอีกหลายสิบเท่าเลยทีเดียว




1.สิว
ไม่ เข้าใจเลยว่า ในเมื่อธรรมชาติสร้างวัยรุ่นให้มีใบหน้าใส ๆ ก่อนโรยราไปตามสังขาร แล้วเหตุไฉนถึงต้องสร้างสิวมาให้สถิตตามใบหน้าด้วย พอเอาเม็ดนี้ออกไปได้เม็ดนี้จะสูญหายไปได้อย่างถาวร จะเป็นอะไรเวรี่กู้ดมาก ๆ เลยคร่า

2. ประจำเดือน
เป็น ผู้หญิงก็ลำบากแฮะ ไหนจะต้องคอยดูแลทั้งหนังหน้า สารร่าง และเส้นผมบนหนังกบาลแล้ว ก็ต้องมีเรื่องที่ทำให้จุกจิกกวนตัวอยู่ทุกเดือนอีก ถ้าวิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวไกล สามารถคิดค้นวัคซีนป้องกันการเป็นเมนส์ได้ละก็…เอิ่ม…อ่า…ก็คงเป็น อะไรที่ฝืนธรรมชาติน่าดูเลยแฮะ(มนุษยชาติถึงคราวสูญพันธุ์ก็ตรงนี้แหละวุ้ย)

3. สมุดพกที่ได้เกรด 0
อยาก รู้จริงๆ ว่าผู้ได๋เป็นผู้ตั้งกฎว่าการวัดผลการเรียนควรแบ่งเป็นเกรด 4 3 2 1 และ 0 เขาหรือเธอผู้นั้นจะรู้ไหมว่าเป็นต้นเหตุนำไปสู่การทำให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องเคี่ยวเข็ญแอนด์เข้มงวดลูกหลานเกินความจำเป็น ยิ่งถ้าเป็นเกรดรูปไข่ติดมาในสมุดพก…มีหวังโดนบ่นจนหูชาแน่

4. หนี้
หนี้…เนี่ย ไม่ว่าจะเป็นหนี้ไหนๆ ก็ล้วนแต่ทำให้ลูกหนี้กุมขมับนอนก่ายหน้าผากเลยทีเดียว หนำซ้ำยังมีดอกเบี้ยติดมาด้วย แหม้มมม…ถ้าเป็นดอกเบี้ยหัวใจแล้ว จะไม่กลุ้มใจเลยสักนิด (เฮ้ย มั่วแล้ววุ้ย) เอาเป็นว่า…ขอสรุปเลยแล้วกัน ถ้าต้องปลดหนี้ด้วยการเป็นทาสรับใช้เศรษฐีหนุ่มหล่อ อย่างในละครเวทีละก็…ยินดีคร่า (เอ่อ..ชักมั่วยิ่งกว่าเก่าอีกนะไอ้คนเขียน)

5. แฟนของคนที่เราแอบชอบ
เรื่อง หัวใจมันกะเกณฑ์ไม่ได้จริงๆ คนที่ควรชอบก็ไม่ชอบ ดั๊นนน…ไปหลงรักคนที่มีแฟนแล้ว จะให้ใจกล้าหน้าด้านแย่งแฟนชาวบ้านมาครอบครองก็ทำไม่ลง เพราะเสน่ห์และคารมมีไม่พอ…หุหุ ก็ได้แต่วาดฝันลมๆ แล้ง ๆ ไปว่า ถ้ามีพรวิเศษจริง ก็ขอให้แฟนของคนที่เราชอบหายลับหายไปสักทีเทิ้ด

6. การบ้านกองโต
ชีวิต วัยรุ่นร่าเริงลั้นลาเนี่ย มักจะมาจอดสนิท เหี่ยวเฉาสุดๆ ก็เมื่อเจอการบ้านเนี่แหละ แถมส่วนใหญ่มักจะเป็นการบ้านกองโตเสียด้วย สาเหตุมาจากพฤติกรรมดินพอกหางหมูนี่แหละ เมื่อไหร่นะ ? เมื่อไหร่ที่คุณครูจะเลิกแจกการบ้านให้นักเรียนสักที? วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่กัน??? (คงเป็นวันที่โลกแตกนั่นแหละ)

7. ครูที่จุกจิกจู้จี้
ก็ เข้าใจว่าที่ครูคอยจุกจิกจู้จี้พร่ำบ่นพวกเราน่ะ ก็ด้วยความเป็นห่วงหวังดีอย่างจริงใจ แต่คุณครูขา…พวกหนูเป็นพวกโสตประสาทระดับต่ำกว่ามาตราฐาน เวลาฟังอะไรซ้ำ ๆ นาน ๆ เข้า ก็มักจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไม่ได้ซึมเข้าไปในเซลล์สมองค่ะ คุณครูเปลืองน้ำลายเปล่า ๆ ปลี้ ๆ อยากบอกให้รู้อ่ะค่ะ แหะ ๆ

8. สัตว์เลื้อยคลานที่น่ารังเกียจ
งู เหลือม งูหลาม จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งก่า จิ้งเหลน และอีกสารพัดสัตว์เลื้อยคลานน่าหยึกหยึย แค่นึกภาพในหัวก็ขยะแขยงไปถึงขั้วหัวใจแย้ว ก็ดูสิ…ทั้งรูปร่าง สี หรือผิวหนัง แบบว่าอั๊กลี่มากกกกไม่รู้ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้ไง อี๋ๆๆ ถ้าหายไปจากโลกนี้ไม่ได้ด้วยเหตุผลทางนิเวศวิทยา ก็ขอให้น่ารักสักเศษเสี้ยวของหนูแฮมทาโร่ ก็ยังดี

9. ไขมัน
ไอ้ นี่แหละ คือตัวการที่ทำหลายคนต้องสูญเสียความสวย ความมั่นใจ ความภาคภูมิ ศักดิ์ศรี เสรีภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย แถมมันยังติดเหนียวหนึบตามบอดี้ยิ่งกว่าหมากฝรั่งติดพื้นรองเท้าเสียอีก กว่าจะแกะออกไปได้ ก็ช่างยากเย็นหนักหนา แต่นี่น่ากลัวกว่านั้นก็ตอนที่มันหวนกลับคืนมาน่ะสิ คราวนี้ล่ะติดหนึบยิ่งกว่ากาวตราช้างสิบหลอดรวมกันเสียอีก

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

4 วิธีพัฒนา “อีคิว”

4 วิธีพัฒนา “อีคิว”


สู่วิถีผู้มี “สุขภาพจิตดี” ช่วยการดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ มีสุข เพียงหมั่นฝึกทักษะ 4 วิธี

นอกจากไอคิว (I.Q.) แล้ว ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว (E.Q.) ถือเป็นส่วนสำคัญต่อวัยเรียนอย่างมาก ซึ่งการเข้าใจ รู้จักแยกแยะ ควบคุม และแสดงอารมณ์ถูกต้องตามกาลเทศะได้นั้น จะช่วยเสริมสุข สร้างสมดุลของชีวิต ทั้งยังสามารถเผชิญความคับข้องใจ และแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างราบรื่น โดยทักษะดังกล่าว สร้างได้ง่าย ๆ ดังนี้


เริ่มจาก “ฝึกสมาธิ” จะช่วยจัดระเบียบความคิด ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ ทำให้มั่นคงทางอารมณ์ สงบ หนักแน่น เยือกเย็น ทั้งยังคลายเครียด เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการศึกษาเล่าเรียน นอกจากนั้น การออกกำลังกาย เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ ก็เป็นผลดีเช่นกัน

“ฝึกระงับอารมณ์” ยามเจอสถานการณ์ตึงเครียด ด้วยวิธีต่าง ๆ อาทิ กำหนดลมหายใจให้สติอยู่กับตัว โดยหายใจเข้า-ออกยาว ๆ, นับ 1-10 หรือ นับต่อเรื่อย ๆ จนรู้สึกสงบ หรือ ปลีกตัวออกมาชั่วคราว เป็นต้น ซึ่งหัวใจหลักคือ ต้องรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่สามารถควบคุมความโกรธนั้นได้ และหาวิธีจัดการอย่างเหมาะสม

“ละทิ้งพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ” และค่อย ๆ ปรับปรุงตนเอง รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ฝึกเป็นผู้พูด-ผู้ฟังที่ดี และไม่ลืมที่จะใส่ใจความรู้สึกผู้อื่น

“ยอมรับความบกพร่อง” เนื่องจากสิ่งที่หวังอาจไม่เป็นอย่างที่คิด 100% ดังนั้น ทักษะข้อนี้ จะช่วยให้ไม่เครียด ไม่ทุกข์ ไม่ผิดหวังมากเกินไป ขณะเดียวกัน ลองมองเป็นความท้าทาย เพื่อสร้างพลังใจต่อสู้กับอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้

ทักษะข้างต้น เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนให้เกิดได้ เหมาะอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตท่ามกลางวิกฤติปัญหาปัจจุบัน

เทคนิคการใส่เสื้อผ้าสีสด


เทคนิคการใส่เสื้อผ้าสีสด

1. เริ่มจากลองชิ้นสีสดชิ้นเล็กๆ พวกเครื่องประดับทั้งหลาย เติมแต่งลงบนร่างกายก่อน เป็นต้นว่า ผ้าพันคอ เข็มขัด รองเท้า กระเป๋า สร้อยคอ เป็นต้น จากนั้นค่อยเลื่อนลงมาเป็นกางเกง กระโปรง มิกซ์กับสีดำ สีขาว หรือสีนู้ด แล้วค่อยปรับประดับเป็นใส่ทั้งชุด

2. หากที่ผ่านมาชอบใสแต่สีขรึมๆ หรือโทนพาสเทลหวานๆ ลองค่อยๆ เปลี่ยนลุค เข้าสู่โทนสีสดทีละน้อย โดยเริ่มจากใส่สีโทนเข้มก่อน อย่างสีน้ำเงิน สีม่วง สีเขียว จากนั้นจึงปรับสู่สีโทนสว่างอย่างสีส้มสดหรือสีเหลืองสด

3. ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดสีพื้นตลอด อาจเปลี่ยนเป็นชุดผ้าพิมพ์ลายสีสด ผสมกับผ้าพื้นเพื่อช่วยให้เกิดความสนุกสนานในการแต่งตัวยิ่งขึ้น

4. การใส่สีสดจัดนั้นไม่จำเป็นต้องใส่เฉดสีเดียวกันทั้งชุด ถ้าจะให้ดูมีรสนิยม เราอาจจับมิกซ์สีต่างเฉดอ่อนเข้มไม่เท่ากันในชุดเดียว เพื่อให้เกิดเลเยอร์และดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น


อาหารที่ช่วยลด ความอยากอาหารได้

อาหารที่ช่วยลด ความอยากอาหารได้

ถ้าคุณรู้สึกว่า การควบคุมตัวเองไม่ให้หยิบช็อกโกแลต หรือคุกกี้รับประทานนั้นเป็นเรื่องแสนยาก รวมทั้งอาการอยากอาหารไม่หยุดหย่อน การรับประทานอาหารที่จะแนะนำนี้ รองท้องหรือระหว่างมื้อ จะช่วยลดความอยากอาหารได้มากขึ้นค่ะ

ถั่ว


แบบที่มีชื่อว่า Pine nute ช่วยระงับฮอรโมนความอยากอาหาร ที่ชื่อว่า Cholecystokinin (CKK) ดังนั้นจึงแนะนำว่า ให้โรยในสลัด พาสต้าโฮลวีท หรืออาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ถ้าหาถั่วชนิดนี้ไม่ได้ ใช้ "อัลมอนด์" แทนได้ เพราะมีปฎิกิริยาขัดขวางการดูดซึงไขมันในร่างกาย ช่วยให้ลดน้ำหนักได้

อาหารร้อน


เช่น ซุป และน้ำชา ด้วยอุณหภูมิที่สูงทำให้ความอยากอาหารลดต่ำลง ดังนั้น ก่อนมื้อหนัก ควรรับประทานซุป หรือน้ำชา ถ้าได้จิบชาเขียวร้อน บอกกันว่า จะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญให้ดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ

แอปเปิ้ล



มีไฟเบอร์มากกว่าพืช องุ่น และส้มเสียอีก ซึ่งไฟเบอร์ช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม ป้องกันการรับประทานมากจนเกินพอดี เพราะฉะนั้นจึงมีคำแนะนำให้รับประทานแอปเปิ้ลก่อนมื้อค่ำค่ะ

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคฝึกสำเนียงอังกฤษเลิศ



พูดคล่องลื่นไหล ออกเสียงสูงต่ำหนักเบาเหมาะสม เรียนรู้กันได้ เพียงหมั่นฝึกทักษะ 4 ข้อ

เริ่มจาก “ฟังบ่อย ฟังเยอะ ฟังหลากหลาย” เริ่มจากสิ่งใกล้ตัว เช่น เพลง ภาพยนตร์ ข่าว จะพบความแตกต่างของภาษา และเห็นการใช้รูปปากเพื่อออกเสียงคำต่างๆ โดยในช่วงแรก “เน้นฟังการออกเสียง สังเกตอารมณ์ความรู้สึกก่อน” ใช้เวลาประมาณวันละ 1-2 ชั่วโมง เพื่อสร้างความเคยชินกับภาษา และโครงสร้าง จากนั้น ซื้อหนังสือบทสนทนามาฝึกอ่าน แล้วออกเสียงตามซีดี

“พกดิกชันนารีติดตัว” ควรเลือกใช้แบบช่วยเสริมภาษา ที่แสดงการถอดเสียงคำอ่าน มีตัวอย่างการใช้คำ ประโยค/วลีค่อนข้างมาก พร้อมคำแปลภาษาไทย เพื่อสะดวกต่อการทำความเข้าใจ และตีความอย่างถูกต้อง

สุดท้าย “ช่างสังเกต” จากคำศัพท์ที่รู้อยู่แล้ว หากเจ้าของภาษาออกเสียงต่างจากเรา สามารถจำมาฝึก แล้วแก้สำเนียงของคำนั้น ๆ ให้ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม การออกเสียงที่ถูกต้อง ใช้เสียงสูงต่ำเหมาะสม จะช่วยให้การพูดภาษาอังกฤษน่าฟัง และเข้าใจความหมายได้ชัดเจน ซึ่งทุกคนสามารถเก่งได้ เพียงหมั่นพัฒนาทักษะอย่างสม่ำเสมอ.

ทำไมเมืองไทยไม่มีหิมะตก



เคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมประเทศไทยไม่มีหิมะ ทั้งๆ ที่ ญี่ปุ่น เกาหลี ที่อยู่ทวีปเอเชียด้วยกัน กลับมีหิมะตกในช่วงหน้าหนาว (เวียดนามก็เคยตกมาแล้ว!!) วันนี้พี่มิ้นท์จะมาคลายปมให้หายสงสัยกันไปเลย

ทวีปเอเชียเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ตั้งบริเวณเส้นศูนย์สูตรไปจนถึงบริเวณขั้วโลกเหนือ อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 77 องศา 45 ลิปดาเหนือ ถึง 1 องศา 45 ลิปดาเหนือ และเส้นลองติจูดที่ 169 องศา 40 ลิปดาตะวันตก ถึง 26 องศา 4 ลิปดาตะวันออก โดยปกติเส้นละติจูดจะทำให้เรารู้สภาพอากาศของต่ำแหน่งประเทศนั้นๆ โดยตำแหน่งที่ตั้งที่มีค่าละติจูดต่ำ ก็จะมีอุณหภูมิสูงกว่าต่ำแหน่งพื้นที่ที่อยู่ละติจูดสูงกว่า เพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากกว่านั่นเอง ด้วยความกว้างขวางขนาดนี้ ทวีปเอเชียจึงมีความหลากหลายทางสภาพภูมิอากาศ เรียกว่ามีตั้งแต่ร้อนแห้งแล้งแบบทะเลทราย ไปจนถึงหนาวแบบขั้วโลก เลย



ยังจำได้ตอนเรียนวิชาภูมิศาสตร์ จะรู้ว่าประเทศไทยตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูด 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ ถึง 20 องศา 25 ลิปดาเหนือ เรียกว่า อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาเพียงนิดเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเขตร้อนชื้น โดยรวมอากาศมาตรฐานของไทยก็จะอบอ้าว สลับกันระหว่างร้อนกับฝนตก ถ้าร้อนก็จะร้อนตับแตก ถ้าฝนก็มีมรสุมหลายชนิด ถ้าหน้าหนาว ก็ให้ได้รู้สึกเย็นบ้างพอเป็นพิธี ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โดยภาคเหนือจะหนาวที่สุด ส่วนภาคใต้จะไม่ค่อยหนาว เน้นฝนตกอย่างเดียว หลังจากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตแบบร้อนๆ ตามเดิม

ด้วยสภาพภูมิอากาศแบบนี้ก็พอจะอธิบายได้ว่า เมืองไทยยังหนาวไม่พอที่หิมะจะตกลงมาได้ เพราะหิมะจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศที่อุณหภูมิต่ำประมาณ 0 องศา หรือถ้ามีฝนตกร่วมด้วยก็อาจจะไม่ต้องถึง 0 องศา เพราะบรรยากาศมีความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสม

ถ้าจะอธิบายง่ายๆ หิมะ ก็คือ การรวมตัวของละอองน้ำในบรรยากาศ ที่ควบแน่นและตกลงมา ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ ฝนค่ะ แต่จะแตกต่างตรงที่เมื่อละอองน้ำเจออากาศเย็นและมีความชื้นที่พอเหมาะ ก็เลยตกลงมาในรูปของผลึกน้ำแข็งนั่นเอง

ดังนั้นพื้นที่ที่จะเกิดหิมะได้ ก็จะต้องอยู่ใต้เส้น Tropic of capricron ในซีกโลกใต้ หรือ อยู่เหนือเส้น Tropic of cancer ขึ้นไปในซีกโลกเหนือ ซึ่งประเทศจีน รัสเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น อยู่เลยเส้นนี้ จึงมีหิมะตกได้ ส่วนประเทศไทยของเราล่ะ อยู่ตรงโซน Equator ซึ่งใกล้เส้นศูนย์สูตรพอดี๊พอดี ก็เลยไม่มีหิมะจ้า (ดูรูปประกอบด้านบน)

จริงหรือไม่ ?? หน้าหนาว ช่วยให้ผอมได้


ปัญหาเรื่องความอ้วน จะรู้สึก และเครียดมากขึ้น ก็ต่อเมื่อจะมีเจ้าก้อนเนื้อมาสิงอยู่รอบเอว รอบต้นขา จนมันแน่นและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แถมยังไม่ยอมไปง่ายๆ หลายคนเลือกกำจัดความอ้วนด้วยวิธีกินยาลดความอ้วนบ้าง ออกกำลังกายแบบหักโหมบ้าง หรือการเข้าซาวน์น่า ใช้ความร้อนลดไขมันบ้าง เพื่อให้ผอมเร็วๆ แต่รู้มั้ยว่า จริงๆ แล้ว ความเย็นก็ช่วยลดความอ้วนได้เหมือนกัน ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ พี่มิ้นท์ว่ายิ่งเข้าทางเลย


ปกติร่างกายมนุษย์มีเซลล์ไขมันอยู่ 2 ชนิด คือ เซลล์ไขมันชนิดสีขาว มีหน้าที่เก็บพลังงานไว้ให้ร่างกายใช้ และรอคำสั่งให้ปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ ดังนั้นถ้ามันถูกสะสมไว้ไม่มีวันถูกเผาผลาญ ก็จะกลายเป็นไขมันส่วนเกินที่ทำให้เราอ้วนนั่นเอง ไขมันชนิดนี้เจอได้ทั่วไป เพราะมันอยู่ใต้ผิวหนัง และรอบอวัยวะต่างๆ ทั้งรอบๆ ขา หรือช่องท้อง เป็นต้น


ส่วนเซลล์ไขมันอีกชนิดหนึ่ง คือ เซลล์ไขมันสีน้ำตาล มีหน้าที่ต่างจากเซลล์ไขมันสีขาว คือ จะคอยเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงานความร้อน และช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นเวลาอากาศหนาว น้องๆ เคยสังเกตมั้ย คนอ้วนมักจะไม่ค่อยหนาวเพราะประการฉะนี้นี่เอง ส่วนคนผอม ก็ได้แต่นั่งสั่น ปากสั่น มือสั่นกันไป


ภาพเซลล์ไขมัน


เซลล์ไขมันสีน้ำตาลนี้พบครั้งแรกในวัยทารก แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า มันจะลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น และสิ่งที่สัมผัสได้ต่อมา ก็คือ ความล้น และรูปร่างของร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น ตามพลังงาน
ที่ถูกสะสมไว้
ศาสตราจารย์อเล็กซานเดอร์ ไฟเฟอร์ แห่งมหาวิทยาลัยบอนน์ ได้อธิบายว่าไขมันสีน้ำตาลเพียง 50 กรัม สามารถกำจัดไขมันสีขาวได้ถึงปีละ 5 กิโลกรัม แต่ว่าไขมันสีน้ำตาลจะต้องได้รับการกระตุ้นให้ทำงานก่อน นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามหาวิธีแปลงไขมันสีขาวให้เป็นพลังงานสีน้ำตาล ซึ่งน่าจะเป็นทางนึงที่แก้ปัญหาโรคอ้วนได้
วาวเทอร์ ฟอน มาร์เคน ลิกเตนเบลต์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมาสตริกท์ เชื่อว่า ความเย็นนี่แหละที่เป็นตัวกระตุ้นไขมันสีน้ำตาลตามธรรมชาติ แถมยังได้ทำการทดลองที่น่าสนใจไว้อีกด้วย


ภาพสแกน แสดงไขมันสีน้ำตาล (แสดงด้วยสีดำ) ของผู้ชายที่อยู่ในที่ที่มีอากาศหนาวเย็น (ขวา) และชายที่อยู่ที่อุณหภูมิห้อง (ซ้าย)


จากการทดลอง เขาได้ให้ชายที่มีน้ำหนักเกิน กับ ชายที่มีน้ำหนักปกติ เข้าไปอยู่ในห้องอุณหภูมิ 16 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลการทดลองที่ออกมาก็คือ ชายที่มีน้ำหนักปกติจะพบว่าเซลล์ไขมันสีน้ำตาลทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิม สำหรับชายที่มีน้ำหนักเกิน ก็พบว่าอากาศเย็น สามารถกระตุ้นการทำงานของไขมันสีน้ำตาลได้เหมือนกัน เพราะว่าไขมันสีน้ำตาลจะช่วยเผาผลาญไขมันเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่ต่ำลง แต่พอกลับมาอยู่ในอุณหภูมิห้อง พบว่าไขมันสีน้ำตาลนั้นไม่ทำงาน ดังนั้นอาจจะพอพูดได้ว่า ความเย็นสามารถแก้ปัญหาโรคอ้วนได้ด้วยการกระตุ้นให้เซลล์ไขมันสีน้ำตาลทำงาน


ใครที่คิดจะควบคุมน้ำหนัก ก็คงได้วิธีใหม่ๆ โดยใช้แนวคิดที่ว่า ไขมันก็สามารถกำจัดไขมันได้ คือ การแปลงไขมันสีขาวให้เป็นไขมันสีน้ำตาล เพราะ เซลล์ไขมันสีน้ำตาลมีสรรพคุณอันยอดเยี่ยม ถ้าได้รับการกระตุ้นที่ดี ก็จะกลายเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องไปอดอาหารให้ร่างกายอ่อนแอลงอีก ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงอากาศเย็นได้ที่เลย ใครที่คิดจะลดน้ำหนักก็ลองหันมาใช้ชีวิตท่ามกลางความเย็นให้คุ้มหน่อย ถ้ายังมัวแต่นอน(เพราะมันสบาย) ต่อไป นอกจากน้ำหนักจะไม่ลดแล้ว อาจจะทำให้อ้วนมากขึ้นกว่าเดิม

แสงไฟแบบไหนเหมาะใช้อ่านหนังสือ?

แสงไฟแบบไหนเหมาะใช้อ่านหนังสือ?

เช็ค “แสงไฟ” ในห้องอ่านหนังสือ เลือกใช้ถูกหลักหรือไม่ พร้อมวิธีแก้ไขควรปฏิบัติ ช่วยถนอม “สายตา” บอกลา “อาการตาเพลีย”



หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลังอ่านหนังสือ มักปวดรอบ ๆ ตา และหน้าผาก ตาพร่ามัว ตาลายเป็นพัก ๆ เคือง แสบ หรือ มีน้ำตาไหลร่วมด้วย นั่นเป็นสัญญาณของอาการ “ตาเพลีย” ซึ่งมักเกิดจากการใช้สายตาขณะแหล่งแสงไม่เพียงพอ ดังนั้น เพื่อดวงตาคู่สวยทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพไปนาน ๆ การเลือกใช้แสงไฟอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น

สำหรับ “แสงจากธรรมชาติ” ควรเลี่ยงแสงสว่างจ้า เพราะจะทำให้สายตาอ่อนล้า หากมืดเกินไปก็เป็นปัจจัยทำสายตาสั้นได้เช่นกัน จึงควรหาโคมไฟติดไว้ เพื่อช่วยปรับแสงให้พอดีกับสภาพแวดล้อมแต่ละวัน



หากเป็น “แสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะ” ควรใช้หลอดที่มีแสงสีนวล เลี่ยงแสงสีขาว หรือ เหลืองเกินไป เพราะจะทำให้แสงแยงตา ทั้งนี้ เพื่อการมองตัวหนังสือได้แจ่มชัด แสงที่ตกสะท้อนจากกระดาษไม่ตกเข้าตา ควรจัดวางตำแหน่งโคมไฟให้แสงเข้าด้านข้างซ้ายมือจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ช่วยให้อ่านได้สบายตา และนานขึ้น ทั้งยัง เป็นการลบเงาที่จะเกิดขึ้นด้วย

นอกจากนั้น ควรเลี่ยงอ่านหนังสือในบริเวณที่เป็น “แสงไฟกระพริบ” เพราะจะส่งผลให้ประสาทตาเสียเร็ว เนื่องจากถูกกระตุ้นตามจังหวะกระพริบของแสงนั่นเอง.

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

อยากสวยแบบธรรมชาติ 9 เคล็ดลับนี้เวิร์คสุดๆ

สาวๆ ทุกคนสมัยนี้เริ่มรักสวยรักงามกันตั้งแต่ยังเด็กๆ เมื่อเริ่มแตกสาวก็ต้องหาครีม และเคล็ดลับต่างๆเพื่อบำรุงความสวยกัน แต่!บำรุงอย่างไรจะให้สวยแบบธรรมชาตินั้น ลองวิธีเหล่านี้ดูกันนะคะ ^^




เริ่มต้นเคล็ดลับแรก คือ ทำสวยให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 เวลาทุกวัน ทุกครั้งที่ตื่นเช้าขึ้นมาก่อนไปทำงานหรือทำภารกิจต่างๆนอกบ้าน คุณต้องดูแลเรื่องความงามของตัวเองทุกครั้ง หลังจากนั้นพอทำภารกิจประจำวันเสร็จก็ควรตรวจดูความงามของตัวเองอีกครั้งให้สวยเหมือนตอนเพิ่งออกจากบ้านตอนเช้า

เคล็ดลับที่ 2 ความอยากสวยต้องเกิดในทุกวัน ผู้หญิงจำเป็นต้องดูแลตัวเองให้สวยอยู่ทุกวันไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนก็ตาม เพราะบางทีอาจจะไปสะดุดตาใครสักคนเข้าโดยที่เราไม่รู้ตัว และยังเป็นการบริหารเสน่ห์อย่างหนึ่งอีกด้วย

เคล็ดลับที่ 3 อัพเดทเทรนด์ความงามเสมอ อัพเดทเทรนด์ความงามไว้บ้างก็ดีจะได้รู้ว่าอะไรกำลังมาแรงไม่ได้ตกเทรนด์ แต่ก็ต้องรู้จักจับนู้นจับนี้มาเข้าคู่กันจะได้มีไอเดียเก๋ไก๋ ไม่ซ้ำใครที่เหมาะกับตัวเอง

เคล็ดลับที่ 4 สนุกกับชีวิตผ่านมุมมองที่ดี หัดทำตัวเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ เพราะการที่เรามองโลกในแง่ดีจะทำให้เรามีความสุขตลอดเวลา พอคุณคิดดี อารมณ์ก็จะดี และพลังแห่งความสุขในตัวคุณก็จะสะท้อนความงามให้เปล่งประกายออกมา

เคล็ดลับที่ 5 ห้ามขี้เกียจในการบำรุงรักษา อย่าสวยแต่เพียงภายนอก ผู้หญิงควรสวยจากภายในด้วย เพราะถ้าคุณเอาแต่แต่งหน้าสวยอย่างเดียว แต่ละเลยการบำรุงใบหน้า นั่นอาจทำให้คุณมีริ้วรอยเร็วขึ้น

เคล็ดลับที่ 6 ความสะอาดต้องมาก่อน หลังจากผ่านการทำงานเผชิญเรื่องราวต่างๆมาทั้งวัน พอกลับถึงบ้านเราต้องทำความสะอาดร่างกายทุกครั้งก่อนล้มตัวลงนอน เพราะเราเจอทั้งฝุ่น ควัน สิ่งสกปรกมาตลอดวัน

เคล็ดลับที่ 7 นอนหลับช่วยให้สวยขึ้นได้ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะทำให้คุณรู้สึกกระปี้กระเปร่า แถมผิวพรรณยังดี มีเลือดฝาด ดวงตาก็จะเปล่งประกายสุกใสอีกด้วย และถ้าคุณนอนตรงต่อเวลายังช่วยเผาผลาญไขมันได้ถึง 80 กรัมเลยทีเดียว

เคล็ดลับที่ 8 มีจุดเด่นต้องเอาออกมาโชว์ ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองมีจุดเด่นอะไรในร่างกาย ก็จัดการเน้นส่วนนั้นให้โดดเด่นเลยดีกว่า เช่น ฟันสวย เวลาคุณยิ้มก็ยิ้มอวดฟันสวยๆของคุณไปเลย แต่ทั้งนี้คุณก็ต้องรู้จักแต่งตัวให้เป็นด้วยนะ จะได้สวย ดูดีเป็นสองเท่า

ปิดท้ายด้วย ดูแลสุขภาพกาย-ใจให้แข็งแรง ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลอย่างน้อยปีละครั้ง ถ้ามีปัญหาอะไรจะได้รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะความสวยที่ดีที่สุด ก็คือการมีสุขภาพกาย และใจที่แข็งแรง ที่สำคัญต้องรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อตัวเอง

คุณเป็นคนแบบไหนใน Facebook




ประเภทของคนบน Facebook

เชื่อว่าหลายท่านคงจะเล่น Facebook กันมาพอสมควรจนทราบพฤติกรรมของเพื่อนๆเราบนเฟสบุ๊คแล้วว่าหลายคนมักจะโพส หรือเล่นเฟสบุ๊คกันอย่างไรจากการสังเกตดูโพสต่างๆบนหน้า News feed และนี่คือส่วนหนึ่งของประเภทของคนบน Facebook



ประเภทของคนบน Facebook

พวกทำตัวเป็นไก่ตัวผู้
- คือคนที่เข้ามาโพส "อรุณสวัสดิ์", "Good Morning" ในทุกๆวัน

พวกซุ่มเงียบ
- คือจะไม่โพสหรือคอมเม้นท์ใคร แต่จะอ่านทุกข้อความขอคนอื่นๆ หรือบางทีก็อาจจะพูดถึงเรื่องที่ได้อ่านจากเฟสบุ๊คเมื่อเจอกันจริงๆ

พวกหมาป่า (Hyena)
- คือจะไม่โพสอะไรนอกจากหัวเราะ "555″, "LOLs", "LMAOs (Laughing My Fat Ass Off)" เท่านั้นไม่ว่าจะเห็นใครโพสอะไร

เหมือนจะคนดัง
- คือคนที่มีเพื่อนเยอะมากๆ ราว 4 พันกว่าคนขึ้นไปถึงเกือบลิมิตของเฟสบุ๊คที่ให้มีเพื่อนได้สูงสุด 5 พันคน แบบว่าหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมมีเพื่อนเยอะแยะขนาดนั้นทั้งที่ไม่ได้เป็นคนดัง

พวกติดเกมส์
- คือคนที่เล่นแต่เกมส์และจะโพสแต่เรื่องเกมส์เพื่อให้ได้เล่นเกมส์ต่อไปในด่านต่างๆ ทั้งขอความช่วยเหลือ หรือแจกของในเกมส์ เป็นต้น

พวกชอบเยอะเย้ยถากถาง
- คือคนชอบบ่น วิจารณ์เรื่องราวชีวิตของผู้คนที่อ่านเจอ หรือไปพบเห็นมาต่างๆ นาๆ บนบสเตตัสตัวเองให้คนอื่นเห็น

พวกชอบติดตาม
- คือคนที่จะไม่เคยโพสอะไร แต่จะชอบเข้าไปเข้าร่วมกลุ่ม(Group)ต่างๆ หรือตามกดเป็นแฟนเพจ (Fan Page) ต่างๆมากมายเพื่อดู feeds

พวกชอบโปรโมท
- คือคนที่จะคอยส่งเชิญให้เข้าร่วมอีเว้นท์ต่างๆ ทั้งที่บางทีก็ไร้สาระและก็ทำให้เกิดความรำคาญแก่คนอื่นได้

พวกชอบ Like
- คือจะไม่คอมเม้นท์แต่ขอกด Like อย่างเดียวไม่ว่าใครจะโพสอะไร

พวกดราม่า
- คือจะชอบสร้างกระแส ไม่ชื่นชมอะไรง่ายๆ ไม่เชื่อใครง่ายๆ ใครว่าดีก็มักจะต้องโพสแย้งขัดไปซะหมด หรือก็จะโพสอะไรที่ไม่กระจ่าง ไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวอะไรให้จบ ชอบสร้างกระแสให้คนอยากถามต่อ เพ้อฝันไปเรื่อยเปื่อย

พวกบ้าข่าว
- คือจะอัพเดทข่าวสารตลอดเวลา อะไรมาใหม่ อะไรเกิดขึ้นใหม่ ต้องรีบมาแชร์ก่อน

พวกชอบขโมย
- คือจะนำเอาข้อความโพสของคนอื่นๆมาโพสเป็นของตัวเอง ทั้งที่ตัวเองไม่ได้คิดเอง

10 วิธีคลายร้อน ,,เจ๋งอย่างไม่น่าเชื่อ




1. ใช้เย็นเตร็กซ์
(อ่ะ งงดิ งงดิ)
แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นหนอง พุพอง ใช้เย็นเตร็กซ์ แค่ชื่อเย็น ก็มีผลกับจิตใจได้จริงๆ ไม่น่าเชื่อ .. เจ้าของเดียวกัน "โทนาฟ"

2. กินเย็นตาโฟ
ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อ.... งี้ ต้องลอง

3. อย่าเล่นกับไฟ
ไฟมันร้อน อีกทั้งการเล่นกับไฟเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยง แต่ถ้าต้องการหาอะไรมาเล่นจริงๆ แนะนำให้ช่วงนี้เล่นของสูงแทน อย่างที่รู้กันว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว การเล่นของสูงน่าจะช่วยคุณได้ (ยกเว้นกรณีการเล่นไฟเย็น ซึ่งแม้ไม่ช่วยให้เย็นขค้นแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ได้ทำให้ร้อน)

4. กางๆ หุบๆ ร่ม
ตอนกางยังไม่เท่าใหร่ แต่ลงสังเกตตอนหุบร่ม จะมีลมเบาๆ ใต้ร่ม ถ้าอยากได้ลมแรงๆ ก็ต้องหุบร่มแรงๆ

5. งดใส่เสื้อแขนยาว เสื้อกันหนาว รวมถึงการใช้ผ้าพันคอ
แม้ว่าแทรนจากลอนดอน แป..รีส หรือ นิวย๊อร์ค กำลังมาแรง แม้ว่าสวมใส่จะดูดี มีชาติตระกูล แต่จงอย่าลืมว่า คุณอยู่เมืองไทย ไท๊ยแล่นด์ ที่เป็นเมืองร้อน ที่สำคัญ ฤดูร้อนเมืองเค้า บางทียังเย็นกว่าฤดูหนาวบ้านเราอีกนะ

6. ทานผงชูรสต่างข้าว
เชื่อกันว่า การกินผลชูรสมากๆ จะช่วยให้ผมร่วง และอาจถึงหัวล้านได้ในที่สุด ซึ่งจะช่วยคลายร้อนได้โดยไม่ต้องเสียเวลาตัดผมอีกต่อไป แต่ระวังอาการน้อยใจที่จะตามมาด้วยนะค๊า

7. ฟังเพลงของไอซ์ ศรัญญู
แค่ชื่อก็เย็นแว้วว ประกอบกับเสียงนุ่มๆ หน้าหวานๆ ของพี่ไอซ์ ที่แม้จะทำให้หัวใจของใครหลายคนต้องละลาย แต่เวลาได้ยินเพลงของพี่ไอซ์ทีไร เรากลับรู้สึกเย็นสบาย ไม่เหมือนใคร

8. เป็นทอง
จะได้ไม่รู้ร้อน

9. ก่อหนี้
ใครไม่เคยให้ลองดู แล้วจะรู้... level ความหนาวก็ไล่ไปตามความเก๋า ของสถาบันเจ้าหนี้ คิคิ..

10. อั้นขี้ (ขออภัย ที่ใช้คำมิสุภาพ)
ต่อให้อากาศจะอบอ้าวแค่ไหน เมื่อถึงจุดหนึ่ง คุณจะยะเยือกจนขนลุก และขนลุก เป็นระลอกๆ เกิดเป็นความหนาวแปลกๆ ชนิดหนึ่ง สันนิษฐานว่า อาการเช่นนี้เองที่เรียกกันว่า ..หนาวขี้!!

12 ราศี กับสิ่งนำโชค

12 ราศี กับสิ่งนำโชค




ราศีเมษ
21 มีนา - 20 เมษา
ราศี เมษ มีดาวอังคารเป็นดาวที่คอยปกปักรักษาอยู่จึงได้รับอิทธิพลจากเทพเจ้าผู้ บุกเบิกดาวดวงนี้ซึ่งเต็มไปด้วยพละกำลัง ชาวเมษจึงเป็นผู้มีพลังแกร่งกล้าตั้งใจจริงกล้าหาญ และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างไม่หวาดหวั่น และดูเป็นหนุ่มสาวอย่เสมอ
สิ่งนำโชคคือ ของกระจุกกระจิกสีส้ม แดง และทอง อาหารที่เหมาะกับร่างกายคุณคือมะเขือเทศ
เลข 9 อักษร I,R ดอกเดซี่ ผ้าพันคอ และกางเกง 3 ส่วน

===========================================================
ราศีพฤษภ
21 เมษา - 21 พฤษภา
ดาว ที่ปกปักรักษาราศีนี้อยู่คือดาวศุกร์ โดยเทพวีนัสผู้สดสวยอ่อนหวาน และเต็มไปด้วยความรัก ความงามและความรักอันลึกซึ้งเปี่ยมล้นของเทพวีนัสนี้ส่งผลให้คุณมีรอยยิ้ม ที่น่ารักและจิตใจที่มีเมตตากรุณากับทุกๆคน และมีความรักให้มวลมนุษย์อย่างเหลือเฟือ
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีฟ้า ชมพู และครีม ผักชีจะเป็นอาหารที่ทำให้ร่างกายคุณแข็งแรงและได้รับสารอาหารอย่างสมดุล
เลข 7 อัษร G,Y สลัดซีฟู้ด หอประชุมแสดงคอนเสิร์ต และกระโปรงเอี๊ยม

==========================================================
ราศีเมถุน
22 พฤษภา - 21 มิถุนา
ดาว พุธเป็นดาวที่คอยดูแลปกป้องราศีนี้อยู่ ส่วนเทพผู้พิทักษ์ราศีนี้ ได้แก่เทพเมอร์คิวรี่ ผู้มีพรสวรรค์และความสามารถในการประพันธ์ เป็นนายช่าง และมีวาทศิลป์ที่เลอเลิศ คุณจึงได้รับอิทพลนี้ทำให้คุณเป็นนักพูด นัก้เขียน และเป็นผู้รอบรู้ชนิดหาตัวจับยาก
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีเหลือง น้ำเงิน และเขียว อย่าลืมรับประทานผักกาดหอมให้มากๆ เพราะคุณควรได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ
เลข 4 อักษร D,M รถแข่ง ดาดฟ้า อาคาร นาฬิกาปลุก และเสื้อสูท

==========================================================
ราศีกรกฎ
22 มิถุนา - 23 กรกฎา
ดวง จันทร์เป็นดาวที่คอยปกปักรักษาราศีกรกฎ ส่วนเทพผู้พิทักษ์คือ ไดอาน่า เทพธิดาแห่งการล่าสัตว์และเกษตรกรรม ทั้งยังเป็นแม่ของลูกๆ จำนวนมากด้วย คุณจึงได้รับอิทธิพลนี้ตนเป็นคนที่จิตใจกว้างขวาง สุขุมเยือกเย็น และมีสัญชาตญาณของเพศแม่อยู่ถึงแม้จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีขาว ม่วงอ่อน และสีฟ้าน้ำทะเล คุณควรรับประทานพวกสาหร่ายทะเลให้มากๆ แล้วร่างกายคุณจะแข็งแรง
เลข 8 อักษร H,N กระจกแบบมีด้ามถือ บริเวณลานวัด เข็มขัดหนัง และเสื้อคอโปโล

===========================================================
ราศีสิงห์
24 กรกฎา - 23 สิงหา
ดวง อาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่คอยปกปักรักษาราศีสิงห์อยู่ ส่วนเทพผู้พิทักษ์ก็คือ เทพอะพอลโล ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความเข้มแข็งความหนุ่มความสาว และไฟแห่งชีวิต คุณจึงเป็นผู้หยิ่งทะนง ใจกว้าง และเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูง ทั้งยังชอบเป็นจุดเด่น จุดสนใจด้วย
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีส้ม แดง และทอง ลูกพลัม และส้มทุกชนิด จะทำให้คุณสามารถก้าวเดินไปสู่หนทางแห่งความสุขได้
เลข 3 อักษร K,U ขนมไพลูกพีช สวนสัตว์ นาฬิกาแบบหน้าปัดตัวเลข ดอกกุหลาบแห้ง ถุงเท้าลายขวางและเสื้อแจ็คเก็ต

==========================================================
ราศีกันย์
24 สิงหา - 23 กันยา
ดาว ที่คอยปกป้องดูแลราศีกันย์อยู่คือ ดาวพุธเช่นเดียวกับราศีเมถุน โดยมีเทพเมอร์คิวรี่เป็นเทพเจ้าประจำราศี รวมทั้งนิสัยพื้นฐานของราศีนี้ ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีมารยาทที่งาม สุภาพ เอาจริงเอาจัง พูดเก่ง และเขียนหนังสือได้สวย
สิ่งนำโชคคือ ของกระจุกกระจิกสีครีม สีเนื้อ และสีน้ำเงิน หรือฟ้า อาหารที่ดีต่อร่างกายคุณคือพวกมะนาว เลมอน
เลข 0 อักษร A ,S พิซซ่า ชั้นใต้ดิน สายสร้อยห้อยจี้ไม้กางเขน เสื้อแต็คเก็ตยีนส์ และดินสอ สีม่วง

============================================================
ราศีตุลย์
24 กันยา - 23 ตุลา
ดาว ที่คอยปกป้องดูแลราศีตุลย์นี้เช่นเดียวกับราศีพฤษภคือ ดาวพุธ เทพวีนัส ซึ่งเป็นเทพธิดาประจำดาวพุธนี้ได้มีอิทธิพลในด้านความงามและความรักต่อชาว ตุลย์ ทำให้ชาวตุลย์เกลียดสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม และยังมีจิตใจเที่ยงธรรม รักษาสมดุลของสิ่งของต่างๆได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีฟ้า เขียว และเหลือง สตรอเบอร์รี่จะเป็นผลไม้ที่นำโชคดีมาให้
เลข 6 อักษร F , O ระเบียง เข็มกลัดรูปดอกไม้ กลิ่นวานิลลาละกระโปรงมินิเข้ารูป

============================================================
ราศีพิจิก
24 ตุลา - 22 พฤศจิกา
ดาว ที่คอยปกปักรักษาราศีนี้อยู่คือ ดาวพลูโต มีเทพพลูโตเทพแห่งความลี้ลับ และซ่อนเร้นคอยพิทักษ์อยู่ คุณจึงได้รับอิทธิพลเหล่านี้ทำให้เป็นคนพูดน้อยไม่แดงตัวมักเก็บความเร่า ร้อนไว้ภายใน แต่มีเสน่ห์ดึงดูดอันเร้นลับน่าพิศวง
สิ่งนำโชคคือ ของกระจุกกระจิกสีเทา และดำ อาหารที่เหมาะสำหรับสุขภาพของคุณคือ ไข่เจียว
เลข 5 ตัวอักษร E , W ห้องสมุด ที่คาดผม กระโปรงพลีทและตะปูที่เป็นสนิม

=============================================================
ราศีธนู
23 พฤศจิกา - 22 ธันวา
ดาว ที่คอยปกปักระกษาราศีของคุณอยู่คือ ดาวพฤหัส โดยมีจูปิเตอร์เป็นเทพคอยพิทักษ์อยู่ เทพจูปิเตอร์เป็นเทพแห่งความรอบรู้และพรสวรรค์ทั้งมวล คุณจึงได้รับอิทธิพลให้เป็นคนรักอิสระ ทำอะไรตามใจชอบและมีความสามารถรอบตัวทีเดียว
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีม่วง แดง และส้ม แตงกวา จะเป็นอาหารที่ช่วยให้ร่างกายของคุณได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่
เลข 1 อักษร J , S กุ้งชุบแป้งทอด สวนสาธารณะขนาดใหญ่ แว่นกันแดด เสื้อไหมพรมมอร์แฮร์

=============================================================
ราศีมังกร
23 ธันวา - 20 มกรา
ดาว ที่คอยปกปักรักษาราศีมังกรอยู่ก็คือดาวเสาร์ ส่วนเทพผู้คอยพิทักษ์ดูแลคือเทพแห่งกาลเวลา เทพคลอนุส คุณจึงได้รับอิทธิพล ทำให้เป็นคนที่เที่ยงตรงไม่หักโหม มีเหตุมีผล และใช้ชีวิตอย่างถูกต้องคุ้มค่า
สิ่งนำโชคคือ ของกระจุกกระจิกสีดำ เทา น้ำตาลหม่น ถ้าคุณอยากมีความสุข ขอให้รับประทานหัวหอมเป็นประจำ
เลข 2 อักษร K , T สร้อยคอจี้รูปดาว ต่างหูมุก ตุ๊กตาหุ่นยนต์ ริมทะเล กางเกงตัวหลวมพอง

============================================================

ราศีกุมภ์
21 มกรา - 19 กุมภา
คุณ มีดาวยูเรนัสเป็นดาวที่คอยปกปักรักษาอยู่ และมีเทพยูเรนัสเทพเจ้าแห่งความรอบรู้เป็นเทพผู้คอยพิทักษ์ คุณจึงได้รับอิทธิพลดังกล่าวนี้ ทำให้เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชนิดที่ไม่มีใครจะคาดคิดได้ถึงและเป็รผู้มีความคิดแปลกๆใหม่ๆล้ำหน้าอยู่ เสมอ
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีฟ้า เขียว และเหลือง อาหารนำโชคคือ สลัดผัก
เลข 5 อักษร E , W สถานี เป้ที่เป็นทรงกระเป๋าเอกสาร แหวนอัญมณี สีดำ และกระโปรงยีนส์

============================================================
ราศีมีน
20 กุมภา - 20 มีนา
ดาว ที่คอยปกป้องดูแลราศีมีนคือ ดาวเนปจูน มีเทพผู้พิทักษ์ซึ่งมีอิทพลทำให้ชาวมีนเป็นผู้ที่เร้นลับ ในขณะเดียวกันก็ทรงพลังอำนาจ ไวต่อความรู้สึกและรับรู้กระแสจิตวิญญาณได้ดี
สิ่งนำโชคคือ ของใช้กระจุกกระจิกสีน้ำเงิน ขาวและสีอ่อนๆ องุ่น จะทำให้สุขภาพของคุณดีอยู่เสมอ
เลข 6 อักษร F , O น้ำผลไม้สด สวนดอกไม้ โบว์ หรือริบบิ้น ภาพถ่ายของบรรพบุรุษ หมอนเป็นสีๆ และเสื้อกันหนาวลายดอกไม้
============================================================

ทายนิสัยจากลำดับการเป็นลูก

ทายนิสัยจากลำดับการเป็นลูก




การเป็นลูกคนโต คนกลาง หรือคนเล็ก มีผลต่อนิสัยและการใช้ชีวิตคู่อย่างไรมาดูกันค่ะ

ลูกคนเดียว

ข้อดี :
เป็นคนที่มุ่งมั่นในการทำงาน รู้จักจัดระเบียบให้กับชีวิต มีความยุติธรรมและเป็นคนที่วางใจได้ มีความรับผิดชอบ

ข้อเสีย :
เป็นคนที่ค่อนข้างดื้อ เจ้าคิดเจ้าแค้น มักชอบเรียกร้อง และไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ทนต่อเสียงวิจารณ์ได้น้อยและค่อนข้าง sensitive



ลูกคนโต

ข้อดี :
เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ ต้องการมีอำนาจหรือโดดเด่นเหนือคนอื่น เป็นคนที่มีความเที่ยงตรงและตรงต่อเวลา คนที่เป็นลูกคนโต มักยึดความถูกต้องเป็นหลัก

ข้อเสีย :
มักเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย ชอบใช้อำนาจหรือบีบบังคับ เมื่อต้องการให้ใครทำอะไรให้ตัวเองบางครั้งก็มักวางตัวว่ารู้ไปเสียทุกเรื่องจึง มักผิดพลาดได้ง่าย เพราะไม่ค่อยไว้วางใจคนอื่น เหมือนกับที่วางใจตัวเอง



ลูกคนกลาง

ข้อดี :
เป็นคนที่น่าคบหา มีมนุษย์สัมพันธ์ดีและมักทำให้คนที่อยู่ด้วยมีความสุขชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนทะเลไร้คลื่น รักความสงบมีความเป็นมิตรให้กับคนรอบข้าง เป็นนักฟังที่ดี และมีความตั้งใจที่จะทำให้คนอื่นมีความสุข จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นนักแก้ปัญหาให้กับคนอื่นได้ดี

ข้อเสีย :
มีความกระตือรือร้นน้อยกว่าคนที่เป็นลูกคนโต และเนื่องจากต้องการเป็นที่ยอมรับของคนอื่น จึงมักทำให้คนที่เป็นลูกคนกลางพยายามทำตัวตามความต้องการของคนอื่น หรือทำให้คนที่คบรอบข้างมีความสุข จนเกินขอบเขต หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดไว้ จึงมักลงโทษตัวเอง หรือมองตัวเองในแง่ลบไป

ลูกคนเล็ก

ข้อดี :
มักเป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง มีความเป็นมิตรกับคนรอบข้าง เข้ากับคนได้ง่าย เป็นคนที่อบอุ่น น่าคบหาเป็นคนเปิดเผย จริงใจ

ข้อเสีย :
มักเบื่อง่าย ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ค่อนข้างเอาแต่ใจเมื่อคบหากับใคร ช่วงแรก ๆ ก็ดูน่าตื่นเต้นสนุกสนาน แต่เมื่อความสนุกสนานหมดไป ก็เหมือนงานเลี้ยงเลิกราการสร้างความสัมพันธ์ที่จริงจังและเป็นความสัมพันธ์ระยะยาวจึงดูเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ



คราวนี้มาดูเป็นคู่บ้างนะคะ

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนโต
น่าจะไปด้วยกันได้ยาก ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ หรือหัวแข็งด้วยกันทั้งคู่ ดูเหมือนเส้นทางชีวิตคู่ จะเต็มไปด้วยขวากหนามแห่งความไม่เข้าใจกัน

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนกลาง
จุดอันตรายของคนคู่นี้ อยู่ที่ว่าลูกคนกลาง มักจะเป็นคู่รักที่ดีของทุก ๆ คนแต่เมื่อมาเจอกับคนที่เป็นลูกคนโต ซึ่งมักชอบวางอำนาจ แม้ว่าคนที่เป็นลูกคนกลางจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามแต่นาน ๆ เข้าคนที่เป็นลูกคนกลาง ก็จะรู้สึกแย่ ๆ กับตัวเองและจะสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองลง ความพยายามที่จะทำให้คู่รักที่เป็นลูกคนโตชื่นชอบ ก็จะหมดไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากคนที่เป็นลูกคนกลางมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก ก็จะเป็นคู่ที่ไปด้วยกันได้ดีทีเดียว

คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนสุดท้อง
จัดว่าเป็นคู่ที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวที่สุดเพราะคนที่เป็นลูกคนโต จะช่วยสอนให้คนที่เป็นลูกคนเล็กรู้จักการจัดระเบียบให้กับชีวิต ซึ่งช่วยให้แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ดี ในขณะที่คนที่เป็นลูกคนเล็ก ก็จะนำความสนุกสนานร่าเริงมาให้คนที่เป็นลูกคนโต ก็ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องซีเรียสนี่นา

คู่ที่เป็นลูกคนกลางทั้งคู่
คู่นี้อาจจะเป็นไปได้ 2 ทาง คือ หากคนหนึ่งมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนโต และอีกคนมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันทีเดียว แต่ถ้าหากทั้งคู่ เป็นคนที่ไม่ยืดหยุ่น ถึงแม้จะพอประคับประคองชีวิตคู่กันไปได้แต่ต้องเก็บงำความเจ็บช้ำไว้ข้างในตามนิสัย ของลูกคนกลางที่ไม่ค่อยพูดอะไรออกมาคู่นี้ไม่มีปัญหาเรื่องการนอกใจกัน



คู่ที่เป็นลูกคนกลางกับลูกคนสุดท้อง
ถ้าคนที่เป็นลูกคนกลาง มีลักษณะค่อนไปทางลูกคนโต คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน ดีแต่หากเป็นแบบลูกคนกลางจริง ๆ แล้ว ก็มักจะคล้อยตามให้เห็นดีเห็นงาม กับการใช้ชีวิตในสไตล์ของลูกคนเล็กคือ มักจะขาดความรับผิดชอบและมักสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นเนือง ๆ (เหมือนลูกคนเล็กของใครหว่า!) และถ้าเป็นลูกคนกลางที่มีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก แล้วละก็ ชีวิตคู่ดูจะยุ่งยากทีเดียว

คู่ที่เป็นลูกคนเล็กด้วยกันทั้งคู่
คนคู่นี้ค่อนข้างร่าเริง มองโลกด้วยความสนุกสนานแต่มักไม่ใช่พวกที่ชอบแก้ปัญหาเป็นคู่รักที่น่าอิจฉา แต่อาจจะเป็นคู่ชีวิตที่ไม่ยั่งยืนนัก

เมื่อคุณ ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลาย ทราบข้อดี ข้อเสียของลำดับลูกต่าง ๆ ดังนั้น คุณ ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายก็พิจารณาความเป็นตัวท่านเอง และ/หรือ คนรอบข้าง เพื่อจักได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขกันทั่ว ๆ กันนะ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปากแห้ง ลอกเป็นขุย มีวิธีจัดการค่ะ




มีแนะนำ 3 วิธีให้ลองเลือกใช้ตามความถนัดค่ะ

วิธีแรก :
1. เอาผ้าขนหนูแช่ในน้ำร้อนประมาณ 40 องศา จากนั้นบีบให้แห้งหมาดๆ
2. ประคบตรงริมฝีปากที่แห้งสัก 2-3 นาที หรือจนรู้สึกว่าผ้าเริ่มแห้ง
3. ค่อยๆ ถูริมฝีปาก หนังที่ติดอยุ่จะออกมาหมด หลังจากนั้นก็ให้ทาลิปครีม หรือ ลิปมันทันที จะทำให้ริมฝีปากไม่แห้ง และแลดูอิ่มเอิบ เวลาทาลิปสติกจะดูอิ่มเป็นเงางาม
4. คนที่ริมฝีปากซีด ดูแล้วเหมือนคนเป็นโรค เลือดน้อย ..ในกรณีเช่นนี้ต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารประเภทธาตุเหล็ก
5. คนที่มีริมฝีปากคล้ำ ถ้าเป็นคนผิวคล้ำก็ไม่มีปัญหา เพราะเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นคนผิวขาวแล้วมีริมฝีปากคล้ำ ก็เกี่ยวกับการไหลเวียนของโลหิตไม่ดีพอ หรืออีกสาเหตุก็มาจากการสูบบุหรี่เป็นประจำ ก็ทำให้คล้ำได้ จึงควรทาครีมบำรุงเป็นประจำ และนวดด้วย จะทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ปากจะอิ่มเอิบและไม่แห้งด้วย

วิธีที่สอง
- ให้ทาลิปบาล์มที่ริมฝีปาก
- แล้วนำเบบี้ไวท์มาถูออกเบาๆ
- หลังจากนั้นให้ทาลิปบาล์มอีกครั้งก่อนเติมลิปสีสวยๆ คู่ใจ

วิธีที่สาม
- น้ำน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง และ วาสลีน คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
- น้ำมาทาบนริมฝีปาก ถูเบาๆ
- เช็ดออกด้วยผ้าขนหนู หรือกระดาษทิชชู
- ทาลิปบาล์ม แล้วตามด้วยสีลิปโปรด

กินอย่างไร ไม่ให้กรน

กินอย่างไร ไม่ให้กรน




การกรน นอกจากเป็นที่น่ารำคาญต่อผู้อื่นแล้ว ยังเกิดผลเสียต่อตนเองอีกด้วย เพราะอาจเป็นทำให้เกิดของโรคต่างๆ มากมาย ทั้ง โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ หรือร้ายแรงถึงขั้นอัมพาต ดังนั้น เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการกินสำหรับผู้ที่นอนกรน เพื่อบรรเทาอาการนอนกรนในเบื้องต้นมาฝาก

สมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการช่วยเรื่องระบบทางเดินหายใจ เหมาะใช้ประกอบอาหารให้ผู้ที่นอนกรนรับประทาน คือ “หอมแดง” เลือกชนิดที่แก่จัดเพราะกลิ่นฉุนของมันจะทำให้เกิดความชุ่มชื้นในลำคอ และช่วยระบบการหายใจ จะได้ผลดียิ่งขึ้นถ้ากินแบบสด หรือจะนำมาดมก็ได้

“พริกขี้หนู” รสเผ็ดของมันจะทำให้ระบบทางเดินหายใจโล่ง สารแคปไซซินในพริกช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อรอบหลอดลม ทำให้ปัญหาการกรนอาจลดลงได้

“ขิง” ใช้ขิงแก่ประมาณ 5 กรัม ทุบให้แตก นำไปต้มน้ำดื่มก็จะช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้สะดวกขึ้นเช่นกัน และสุดท้าย “ใบแมงลัก” มีสรรพคุณในการแก้หวัด และโรคหลอดลมอักเสบ

อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้านอนประมาณ 3 ชั่วโมง ไม่ควรทานอาหารหนัก ๆ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายตอบสนองต่อภาวะการขาดออกซิเจนไม่ทัน จนอาจเสียชีวิตได้

ทั้งนี้ การกรนอาจเกิดขึ้นได้จากการนอนหลับไม่สนิท ลองดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอน เช่น นม น้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น หรือ น้ำสมุนไพรอุ่น ๆ สักแก้ว ก็จะทำให้นอนหลับได้สนิท และอาจลดปัญหาการกรนได้.

ตำนานศุกร์ 13 วันแห่งอาถรรพ์



เมื่อเอ่ยถึงวันศุกร์ 13 นั้นหลาย ๆ คนอาจจะนึกไปถึงวันแห่งอาถรรพ์ เพราะเคยมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า ศุกร์ 13 ฝันหวาน แต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาว่า ทำไมวันศุกร์ 13 ถึงเป็นวันที่ไม่ดี

ว่ากันว่า ความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตก โดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper) โดยเชื่อกันว่าในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)

ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่าวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส

ทั้ง นี้นักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวัน ศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

จน ทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือ friggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13

และ ที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ศุกร์ 13 ฝันหวาน หรือ "Friday the 13th" ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้ เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ

สำหรับความเชื่อเรื่อง ศุกร์ 13 เป็นวันไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อกันในหมู่ชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล

เมื่ออารมณ์ไม่ดี...ทำอย่างไรดีน้า

เมื่อคุณอารมณ์ไม่ดี คุณจะ …

1. ไปหาเพื่อนแล้วนั่งคุยกับเพื่อน

2. ชวนเพื่อนออกไปเที่ยวกันหลายๆ คน

3. ไปร่วมชุมนุมกับเพื่อน ๆ

4. นั่งอ่านหนังสือหรือฟังวิทยุอยู่ในบ้าน






เฉลย…ค่ะ



ไปหาเพื่อนและนั่งพูดคุยกับเพื่อน : แสดงว่าคุณต้องการ การปลอบประโลมจากเพื่อน คุณคิดว่าความสนิทสนมทางจิตใจ และอารมณ์มีความสำคัญกว่าการปรองดองสนิทสนมกันตามระเบียบพิธี จากอุปนิสัยของคุณ สามารถชี้ขาดได้ว่า เพื่อนของคุณจะมีไม่มากนัก แต่เพื่อนที่คุณคบ ต่างคือเพื่อนที่รู้ใจกัน

ชวนเพื่อนออกไปเที่ยวด้วยกันหลายๆ คน : คุณไม่เก่งในการจัดการ ในความต้องการของจิตใจและอารมณ์ของตนเอง ยามใดจิตใจเกิดอุปสรรค คุณก็จะออกเที่ยวกับเพื่อน ๆ เพื่อลืมปัญหาของตนเอง แต่นานวันเข้าจะก่อให้เกิดผลเสียต่อตัวคุณ หลักในการคบเพื่อนของคุณคือ ยึดหลักหมู่คณะเป็นหลัก น้อยนักที่จะคิดตริตรองว่า เพื่อนคนนี้สามารถคบกับตนเอง ด้วยความจริงใจได้หรือไม่

ไปร่วมชุมนุมกับเพื่อนๆ : การไปร่วมชุมนุมกับเพื่อน ๆ ขณะอารมณืไม่ดี แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คุณไม่คิดจะเผชิญปัญหาของตนเอง สำหรับคุณ เพื่อนคือเครื่องมือในการแสวงหาความสุข และเป็นเพียงวิธีการหลีกเลี่ยง การสำรวจตัวเองเท่านั้น สามารถกล่าวได้ว่า คุณอาจคบค้าสมาคมกับผู้อื่นมากมาย แต่ก็อาจเป็นแค่เพื่อนกิน ไม่มีเพื่อนที่รู้ใจแม้แต่คนเดียว

นั่งอ่านหนังสือหรือฟังวิทยุอยู่บ้าน : คุณจัดอยู่ในประเภทชอบสำรวจตัวเอง คุณมักจะคิดว่า ขณะอารมณ์ไม่ดีคือโอกาสที่ดีที่สุด สำหรับการหวนสำรวจตัวเอง คุณไม่ใช่คนโดดเดี่ยวและปิดตัวเอง เพียงแต่คุณไม่ชอบใช้แบบพิธีภายนอก มาแก้ไขปัญหาภายในจิตใจ

10 วิธี พิชิตปัญหาผมชี้ฟู




ผมชี้ฟู คือปัญหาที่สุดแสนจะกวนใจสาว ๆ ทำให้ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงเหมือนคนไม่ดูแลตัวเอง ทำให้เสียความมั่นใจไปมากเลยทีเดียว วันนี้เราจึงนำ 10 วิธี ในการพิชิตปัญหากวนใจนี้มาฝากกันค่ะ

1. สระผมแค่วันเว้นวันก็เพียงพอ

ปัญหาผมชี้ฟูมักเกิดขึ้นกับผู้ที่สระผมเป็นประจำทุกวัน แม้จะให้ความรู้สึกสะอาดหลังสระ แต่การสระผมก็ดึงเอาความชุ่มชื้นออกไปจากเส้นผมและหนังศีรษะด้วย ลองเว้นระยะการสระผมออกไปเป็นวันเว้นวัน(หรือมากกว่านั้น) เพื่อให้น้ำมันที่ผลิตโดยธรรมชาติจากหนังศีรษะได้หล่อเลี้ยงเคลือบเส้นผมบ้าง อันจะช่วยแก้ปัญหาผมชี้ฟูได้เป็นอย่างดี

2. ใช้คอนดิชั่นเนอร์ทุกครั้งหลังสระผม

ปัญหาผมชี้ฟูเกิดจากความชื้นในอากาศแทรกซึมเข้าสู่เส้นผม ทำให้เกล็ดผมที่ซ้อนตัวกันอยู่พองและเปิดออก อันเป็นที่มาของความชี้ฟูนั่นเอง การเติมความชุ่มชื้นให้เส้นผมด้วยคอนดิชั่นเนอร์ จะช่วยเคลือบปิดเกล็ดผมให้เรียบสนิท ป้องกันไม่ให้ได้รับผลกระทบจากความชื้นในอากาศนั่นเอง

3. ไม่ทำให้ผมแห้งด้วยการใช้ผ้าขนหนูขยี้ผม

การใช้ผ้าขนหนูเช็ดหรือขยี้บนเส้นผมเพื่อให้เส้นผมแห้งเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะการทำเช่นนี้จะไปรบกวนการเรียงตัวของเกล็ดผม ทำให้เมื่อผมแห้งแล้วดูฟูได้ เลี่ยงปัญหานี้ด้วยการใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ซึ่งมีความสามารถในการซึมซับน้ำได้ดี กดซับเพื่อดูดน้ำและความชื้นออกจากเส้นผมแทน

4. ปกป้องเส้นผมทุกครั้งก่อนการจัดแต่งทรงด้วยอุปกรณ์แต่งผมที่ให้ความร้อน

ความร้อนจากอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมต่าง ๆ ทั้งไดร์เป่าผม ที่หนีบผมตรง และแกนม้วนผมไฟฟ้า ทำให้ผมสูญเสียความชุ่มชื้น เปราะ และชี้ฟู ปกป้องเส้นผมของคุณก่อนปัญหาเช่นนี้จะเกิดขึ้น ด้วยการใช้เซรั่มหรือลีฟออนที่ช่วยปกป้องผมจากความร้อนทุกครั้งก่อนการจัดแต่งทรง

5. ใช้ไดร์เป่าผมไอออนิก

ไดร์เป่าผมแบบไอออนิกให้ความแตกต่างกับเส้นผมมากกว่าการใช้ไดร์เป่าผมลมร้อนทั่วไป เพราะไดร์ชนิดไอออนิกจะปล่อยไอออนที่ถนอมเส้นผมมากกว่า ไม่ทำให้ผมแตกปลาย อันเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมชี้ฟูนั่นเอง

6. พรางผมชี้ฟูด้วยแกนม้วนผมไฟฟ้า

การพรางผมส่วนปลายที่ชี้ฟูด้วยแกนม้วนผมไฟฟ้า นอกจากจะช่วยจัดทรงให้ผมดูเป็นระเบียบมากขึ้นแล้ว ยังช่วยทำให้เกล็ดผมเรียงตัวเป็นระเบียบขึ้นด้วย วิธีการคือเป่าผมด้วยลมเย็นให้แห้งก่อน แล้วจึงม้วนผมส่วนปลายด้วยแกนม้วนผมไฟฟ้า โดยแค่ม้วนเบา ๆ ไม่ทิ้งเอาไว้นาน เท่านี้ก็ช่วยแก้ปัญหาผมชี้ฟูไปได้ง่าย ๆ แล้ว

7. ใช้เซรั่มบำรุงผมที่มีส่วนผสมของซิลิโคน

ซิลิโคนเซรั่มจะเข้าเคลือบเส้นผมและปิดเกล็ดผมให้เรียบสนิท ทำให้ผมไม่ชี้ไม่ฟู วิธีการใช้ให้บีบเซรั่มลงบนมือ ขยี้ให้กระจายตัว แล้วใช้มือนั้นสางผม หรือจะหยดลงบนหวีซี่ห่างแล้วใช้หวีผมก็ได้ จากนั้นปล่อยให้ผมแห้งตามธรรมชาติ หรือจัดแต่งทรงด้วยไดร์เป่าผม

8. บำรุงผมด้วย ฮอต ออยล์ ทรีตเม้นท์ ทุกสัปดาห์

เนื่องจาก ฮอต ออยล์ มีเนื้อที่บางเบากว่าครีมมาส์ก จึงไม่ต้องกังวลว่าผมจะดูลีบติดหนังศีรษะ และใช้กับผมความยาวตั้งแต่บริเวณใบหูลงมาเท่านั้น ลองเลือกใช้ ฮอต ออยล์ ที่มีส่วนผสมของน้ำมันโจโจบา อันจะช่วยให้เกล็ดผมแข็งแรงขึ้น ป้องกันโอกาสที่จะเกิดผมชี้ฟูในระยะยาวได้ด้วย

9. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

สเปรย์ฉีดผมหรือมูสใส่ผม มักมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อช่วยให้แห้งได้ไวขึ้น แต่แอลกอฮอล์ที่ระเหยไปก็ดึงเอาความชุ่มชื้นออกไปจากเส่นผมด้วยเช่นกัน เมื่อผมแห้งก็ทำให้ดูฟูได้ เพราะฉะนั้นเปลี่ยนไปเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อถนอมเส้นผมและลดความชี้ฟูดีกว่า

10. เปลี่ยนผมชี้ฟูให้ดูดีขึ้นด้วยสเปรย์เพิ่มประกายเงางาม

ฉีดสเปรย์ที่ช่วยเพิ่มความเงางามให้กับเส้นผมลงบนหวีแปรง แล้วใช้หวีนั้นสางเส้นผมจนจรดปลาย ผมที่เคยชี้ฟูก็จะดูเรียบและเงางามมากขึ้น ทำให้สาว ๆ ปล่อยผมได้อย่างมั่นใจ

ตัวอย่างการเซ็นสําเนาถูกต้อง

วิธีเซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง...รู้ไว้ไม่เป็นหนี้

บางคนอาจใช้ขีดเส้นขนาน แล้วเขียนข้อความ / เซ็นรับรอง

วันนี้ เอาวิธีเซ็นชื่อรับรองสำเนาที่ถูกต้อง มาแบ่งปันให้คุณรู้ไว้จะได้ไม่เป็นหนี้ เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ประมาทไม่ได้เลยล่ะ เพราะหากเซ็นไม่ถูกวิธีแม้เพียงนิดเดียว คุณอาจตกเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวจากผู้ที่ไม่ประสงค์ดีที่นำเอาเอกสารสำเนาบัตร ประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือสำเนาเอกสารสำคัญอื่นๆ จากการเซ็นรับรองของเราไปทำประโยชน์ส่วนตน แต่สร้างหนี้ที่ไม่ได้ก่อให้กับเรา ดังนั้นจึงขอแนะนำว่า ทุกครั้งหากต้องเซ็นเอกสารรับรองสำเนาอย่าลืม ...จำ...และทำตามขั้นตอนต่อไปนี้นะ

ตัวอย่าง




1) ทุกครั้งหลังจากเซ็นชื่อ และเขียนรับรองสำเนาถูกต้องแล้ว ต้องเขียนรายละเอียดกำกับไว้ด้วยว่า..เอกสารฉบับนั้นใช้สำหรับทำอะไร เช่น "ใช้เฉพาะสมัครงานเท่านั้น"


2) นอกจากกำกับรายละเอียดการใช้แล้ว ยังต้องกำกับ วัน/เดือน/ปี เขียนลงบนสำเนาที่ใช้ด้วยนะค่ะ ซึ่งนั่นจะช่วยกำหนดอายุการใช้งานสำเนาของเราได้


3) ต้องเขียนข้อความทั้งหมด ทับลงบนสำเนาส่วนที่เป็นบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน หรือสำเนาเอกสารอื่นๆ ที่สำคัญ ทั้ง สามข้อคือวิธีเซ็นที่ถูกต้องในการรับรองสำเนาอย่างรัดกุม ไม่เปิดช่องทาง ให้กับมิจฉาชีพ เอาไปสร้างหนี้ให้กับเรา ต่อไปนี้ต้องระวัง เพราะคุณอาจเป็นรายต่อไป ที่จู่ๆก็มี หนี้ตามมาเคาะประตูถึงบ้าน รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมทำตามล่ะ


4) ในกรณี ที่เซ็นเอกสาร ต้องใช้ปากกาหมึกสีดำเท่านั้น ถึงจะปลอดภัยที่สุด เพราะ เครื่องถ่ายเอกสาร บางเครื่อง สามารถถ่ายเอกสารโดยดึงหมึกสีน้ำเงินออก เหลือใช้เฉพาะข้อความของบัตรประชาชน แล้วทำให้มิจฉาชีพ เซ็นเอกสารบัตรประชาชนนั้น แทนเราได้เลย

เพราะฉะนั้นเราควรเซ็นด้วยปากกาสีดำเท่านั้น เพราะไม่สามารถดึงหมึกสีดำออกได้ หรือถ้าดึงสีดำออกได้ข้อความก็จะหายไปหมดเลยทั้งหน้าบัตรประชาชน

อัพเดทศัพท์วัยรุ่น ปี 2012

วัยรุ่นถือเป็นวัยแห่งสีสัน ต้องการอิสระ ต้องการการยอมรับในสังคม ต้องการแสดงออกถึงความเป็นตัวตน เสื้อผ้าหน้าผมของพวกเขาจึงมีความเป็นเฉพาะกลุ่ม ชนิดที่บางครั้งผู้ใหญ่มองแล้วต้องเบือนหน้าหนีด้วยความรับไม่ได้

แต่นอกเหนือจากการแสดงตัวตนผ่านเสื้อผ้าหน้าผมแล้ว ภาษาก็ถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่วัยรุ่นใช้แสดงออกถึงตัวตนของพวกเขา หลาย ๆ คำอาจฟังดูแปลก ๆ คนนอกกลุ่มหรือผู้ใหญ่ ได้แต่ทำหน้าสงสัย เพราะไม่เข้าใจความหมาย

เพื่อลดความสงสัยของคนนอกกลุ่ม มติชนออนไลน์ ได้รวบรวมเอาคำศัพท์ฮิต ๆ ส่วนหนึ่ง พร้อมความหมาย ของกลุ่มวัยรุ่นมาไว้ที่นี่แล้ว




จิ้น = จินตนาการ ค่อนไปในทางชู้สาว เช่น "ฉันเห็น แมน กับ ต้น จับมือกันอะ เห็นแล้วจิ้นไปไกลเลยอะ"

ฟิน = เป็นอารมณ์ที่เห็นอะไรที่มัน “สุดยอด” เป็นอารมณ์สุดขีดในตอนนั้น

ปลวก = พวกอยู่ไม่นิ่ง ชอบเรียกร้องความสนใจให้ตัวเอง เหมือนปลวกที่ชอบสร้างรังตลอดเวลา และอาจรวมไปถึงพวกชอบจิกกัดคนอื่น

ติ่ง = แฟนคลับเกาหลีที่ไม่มีเหตุผล ไม่มีมารยาท ไม่สนใจความเป็นไปของโลกนอกจากศิลปินของตัวเอง

ซึน (ซึนเดเระ) = พวกไม่พูดตรงๆ ชอบเก็บอาการ เสแสร้ง

เฮียก = น่าเกลียด ขี้เหร่มาก

ขี้เม้ง = พวกที่ชอบวีน ขี้โวยวาย ด่าเก่ง ปากจัด หน้าตาบูดบึ้ง

อิม = มาจาก impossible หมายถึง พวกเด็กเรียน คือสามารถทำเรื่อง (เรียน) ที่ยาก ๆ ที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้

อีนี่หลายอย่าง = คนคนนี้เป็นทั้งผู้ชาย เกย์ กะเทย แต๋ว และตุ๊ด

อบกบ = ไม่ หล่อ

เกิร์ป = โง่ แบบ ควาย

ซับโบร๋ = หวัดดี

หน้าเงือก = หน้าตาไม่ดี

WannaBE = พวกจอมปลอม

งุ๊งงิ๊ง = รำคาญ น่าเบื่อ

เฟ่ย = ไม่ได้เรื่อง ไม่ดี

กระหลั่ว = เลว

สิ่งอัน = ทุกสิ่งทุกอย่าง

ป่วย = พวกที่ไม่ค่อยปกติ **

สลัมบอมเบย์ = ต่ำสุด ๆ

ไม่ใส่จิว = ไม่ใส่ใจจริง ๆ

หน้าผั๊ว = เกย์หน้าไม่สวย

โป๊ะแตก = ผู้ชายที่เผลอหลุดความเป็นสาวออกมา

ดัดจร = ดัจริต กะแดะ

เพื่อนปุก = ทอม

ชิซูกะ = ตะกละ กินไม่เลือก

แกสบี้ = แก่มาก ๆ

ออนป้า = แสดงความเป็นป้าสู่สายตาประชาชน

อวย = การที่ยกย่องคน ๆ นึงให้ดูดีเกินเหตุ เกินกว่าที่ควรเป็น

วันนี้โปร่ง = วันนี้ไม่ได้พาแฟนมาด้วย

วื่นวือ = วุ่นวายสุด ๆ

ห่าน = สวยมาก

สุย = หนุ่มที่แต่งตัวเห่ยมากไม่เข้ากาละเทศะ

จีว่า = เวลาเห็นใครแต่งตัวหรือแสดงออกเกินความจำเป็น

จี๊ด = สุดยอด เจ๋ง

ตึบ = สุดยอด เจ๋ง

G.B. = gereral เบ๊ คนรับใช้ทุกอย่าง

ดิ๊ว = ขโมย

ถ้วย ถัง กะละมัง หม้อ = ไร้สาระไปวัน ๆ

แอ๊ว = ยั่วยวนเพศตรงข้าม

นิ่งๆ ริงมายเบล = ไม่ทำอะไร อยู่เฉย ๆ ดีกว่า

องค์ลง หรือ มีองค์ = หมายถึงพวกขาวีน หรือพวกที่จู่ ๆ ก็เกิดอาการอารมณ์เสีย ของขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ถ้าผู้ชายมีองค์ หมายถึง ตุ๊ด กะเทย

สลิด = ดัดจริต

บุย บุย = บ๊าย บาย

ดิล (deal) = เข้าไปคุยจีบ

9 เรื่อง ที่วัยรุ่น อยากลบทิ้งไปจากโลกนี้

9 เรื่อง ที่วัยรุ่น อยากลบทิ้งไปจากโลกนี้

ถ้า เรื่องแย่ ๆ น่าเวียนเฮดทั้งหลายในโลกนี้ สามารถทำให้หายไปได้ง่ายๆ เหมือนการกด Backspace หรือ Delete จะดีแค่ไหนหนอ เอาแค่ 9 เรื่อง ที่ไอไลค์โพลคัดมาในฉบับนี้ถ้าหายไปได้หละก็… วัยรุ่นทั้งโลกก็คงแฮปปี้ดี๊ด๊ากระชุ่มกระชวยขึ้นอีกหลายสิบเท่าเลยทีเดียว




1.สิว
ไม่ เข้าใจเลยว่า ในเมื่อธรรมชาติสร้างวัยรุ่นให้มีใบหน้าใส ๆ ก่อนโรยราไปตามสังขาร แล้วเหตุไฉนถึงต้องสร้างสิวมาให้สถิตตามใบหน้าด้วย พอเอาเม็ดนี้ออกไปได้เม็ดนี้จะสูญหายไปได้อย่างถาวร จะเป็นอะไรเวรี่กู้ดมาก ๆ เลยคร่า

2. ประจำเดือน
เป็น ผู้หญิงก็ลำบากแฮะ ไหนจะต้องคอยดูแลทั้งหนังหน้า สารร่าง และเส้นผมบนหนังกบาลแล้ว ก็ต้องมีเรื่องที่ทำให้จุกจิกกวนตัวอยู่ทุกเดือนอีก ถ้าวิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวไกล สามารถคิดค้นวัคซีนป้องกันการเป็นเมนส์ได้ละก็…เอิ่ม…อ่า…ก็คงเป็น อะไรที่ฝืนธรรมชาติน่าดูเลยแฮะ(มนุษยชาติถึงคราวสูญพันธุ์ก็ตรงนี้แหละวุ้ย)

3. สมุดพกที่ได้เกรด 0
อยาก รู้จริงๆ ว่าผู้ได๋เป็นผู้ตั้งกฎว่าการวัดผลการเรียนควรแบ่งเป็นเกรด 4 3 2 1 และ 0 เขาหรือเธอผู้นั้นจะรู้ไหมว่าเป็นต้นเหตุนำไปสู่การทำให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องเคี่ยวเข็ญแอนด์เข้มงวดลูกหลานเกินความจำเป็น ยิ่งถ้าเป็นเกรดรูปไข่ติดมาในสมุดพก…มีหวังโดนบ่นจนหูชาแน่

4. หนี้
หนี้…เนี่ย ไม่ว่าจะเป็นหนี้ไหนๆ ก็ล้วนแต่ทำให้ลูกหนี้กุมขมับนอนก่ายหน้าผากเลยทีเดียว หนำซ้ำยังมีดอกเบี้ยติดมาด้วย แหม้มมม…ถ้าเป็นดอกเบี้ยหัวใจแล้ว จะไม่กลุ้มใจเลยสักนิด (เฮ้ย มั่วแล้ววุ้ย) เอาเป็นว่า…ขอสรุปเลยแล้วกัน ถ้าต้องปลดหนี้ด้วยการเป็นทาสรับใช้เศรษฐีหนุ่มหล่อ อย่างในละครเวทีละก็…ยินดีคร่า (เอ่อ..ชักมั่วยิ่งกว่าเก่าอีกนะไอ้คนเขียน)

5. แฟนของคนที่เราแอบชอบ
เรื่อง หัวใจมันกะเกณฑ์ไม่ได้จริงๆ คนที่ควรชอบก็ไม่ชอบ ดั๊นนน…ไปหลงรักคนที่มีแฟนแล้ว จะให้ใจกล้าหน้าด้านแย่งแฟนชาวบ้านมาครอบครองก็ทำไม่ลง เพราะเสน่ห์และคารมมีไม่พอ…หุหุ ก็ได้แต่วาดฝันลมๆ แล้ง ๆ ไปว่า ถ้ามีพรวิเศษจริง ก็ขอให้แฟนของคนที่เราชอบหายลับหายไปสักทีเทิ้ด

6. การบ้านกองโต
ชีวิต วัยรุ่นร่าเริงลั้นลาเนี่ย มักจะมาจอดสนิท เหี่ยวเฉาสุดๆ ก็เมื่อเจอการบ้านเนี่แหละ แถมส่วนใหญ่มักจะเป็นการบ้านกองโตเสียด้วย สาเหตุมาจากพฤติกรรมดินพอกหางหมูนี่แหละ เมื่อไหร่นะ ? เมื่อไหร่ที่คุณครูจะเลิกแจกการบ้านให้นักเรียนสักที? วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่กัน??? (คงเป็นวันที่โลกแตกนั่นแหละ)

7. ครูที่จุกจิกจู้จี้
ก็ เข้าใจว่าที่ครูคอยจุกจิกจู้จี้พร่ำบ่นพวกเราน่ะ ก็ด้วยความเป็นห่วงหวังดีอย่างจริงใจ แต่คุณครูขา…พวกหนูเป็นพวกโสตประสาทระดับต่ำกว่ามาตราฐาน เวลาฟังอะไรซ้ำ ๆ นาน ๆ เข้า ก็มักจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไม่ได้ซึมเข้าไปในเซลล์สมองค่ะ คุณครูเปลืองน้ำลายเปล่า ๆ ปลี้ ๆ อยากบอกให้รู้อ่ะค่ะ แหะ ๆ

8. สัตว์เลื้อยคลานที่น่ารังเกียจ
งู เหลือม งูหลาม จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งก่า จิ้งเหลน และอีกสารพัดสัตว์เลื้อยคลานน่าหยึกหยึย แค่นึกภาพในหัวก็ขยะแขยงไปถึงขั้วหัวใจแย้ว ก็ดูสิ…ทั้งรูปร่าง สี หรือผิวหนัง แบบว่าอั๊กลี่มากกกกไม่รู้ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้ไง อี๋ๆๆ ถ้าหายไปจากโลกนี้ไม่ได้ด้วยเหตุผลทางนิเวศวิทยา ก็ขอให้น่ารักสักเศษเสี้ยวของหนูแฮมทาโร่ ก็ยังดี

9. ไขมัน
ไอ้ นี่แหละ คือตัวการที่ทำหลายคนต้องสูญเสียความสวย ความมั่นใจ ความภาคภูมิ ศักดิ์ศรี เสรีภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย แถมมันยังติดเหนียวหนึบตามบอดี้ยิ่งกว่าหมากฝรั่งติดพื้นรองเท้าเสียอีก กว่าจะแกะออกไปได้ ก็ช่างยากเย็นหนักหนา แต่นี่น่ากลัวกว่านั้นก็ตอนที่มันหวนกลับคืนมาน่ะสิ คราวนี้ล่ะติดหนึบยิ่งกว่ากาวตราช้างสิบหลอดรวมกันเสียอีก

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

4 วิธีพัฒนา “อีคิว”

4 วิธีพัฒนา “อีคิว”


สู่วิถีผู้มี “สุขภาพจิตดี” ช่วยการดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ มีสุข เพียงหมั่นฝึกทักษะ 4 วิธี

นอกจากไอคิว (I.Q.) แล้ว ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว (E.Q.) ถือเป็นส่วนสำคัญต่อวัยเรียนอย่างมาก ซึ่งการเข้าใจ รู้จักแยกแยะ ควบคุม และแสดงอารมณ์ถูกต้องตามกาลเทศะได้นั้น จะช่วยเสริมสุข สร้างสมดุลของชีวิต ทั้งยังสามารถเผชิญความคับข้องใจ และแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างราบรื่น โดยทักษะดังกล่าว สร้างได้ง่าย ๆ ดังนี้


เริ่มจาก “ฝึกสมาธิ” จะช่วยจัดระเบียบความคิด ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ ทำให้มั่นคงทางอารมณ์ สงบ หนักแน่น เยือกเย็น ทั้งยังคลายเครียด เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการศึกษาเล่าเรียน นอกจากนั้น การออกกำลังกาย เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ ก็เป็นผลดีเช่นกัน

“ฝึกระงับอารมณ์” ยามเจอสถานการณ์ตึงเครียด ด้วยวิธีต่าง ๆ อาทิ กำหนดลมหายใจให้สติอยู่กับตัว โดยหายใจเข้า-ออกยาว ๆ, นับ 1-10 หรือ นับต่อเรื่อย ๆ จนรู้สึกสงบ หรือ ปลีกตัวออกมาชั่วคราว เป็นต้น ซึ่งหัวใจหลักคือ ต้องรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่สามารถควบคุมความโกรธนั้นได้ และหาวิธีจัดการอย่างเหมาะสม

“ละทิ้งพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ” และค่อย ๆ ปรับปรุงตนเอง รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ฝึกเป็นผู้พูด-ผู้ฟังที่ดี และไม่ลืมที่จะใส่ใจความรู้สึกผู้อื่น

“ยอมรับความบกพร่อง” เนื่องจากสิ่งที่หวังอาจไม่เป็นอย่างที่คิด 100% ดังนั้น ทักษะข้อนี้ จะช่วยให้ไม่เครียด ไม่ทุกข์ ไม่ผิดหวังมากเกินไป ขณะเดียวกัน ลองมองเป็นความท้าทาย เพื่อสร้างพลังใจต่อสู้กับอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้

ทักษะข้างต้น เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนให้เกิดได้ เหมาะอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตท่ามกลางวิกฤติปัญหาปัจจุบัน

เทคนิคการใส่เสื้อผ้าสีสด


เทคนิคการใส่เสื้อผ้าสีสด

1. เริ่มจากลองชิ้นสีสดชิ้นเล็กๆ พวกเครื่องประดับทั้งหลาย เติมแต่งลงบนร่างกายก่อน เป็นต้นว่า ผ้าพันคอ เข็มขัด รองเท้า กระเป๋า สร้อยคอ เป็นต้น จากนั้นค่อยเลื่อนลงมาเป็นกางเกง กระโปรง มิกซ์กับสีดำ สีขาว หรือสีนู้ด แล้วค่อยปรับประดับเป็นใส่ทั้งชุด

2. หากที่ผ่านมาชอบใสแต่สีขรึมๆ หรือโทนพาสเทลหวานๆ ลองค่อยๆ เปลี่ยนลุค เข้าสู่โทนสีสดทีละน้อย โดยเริ่มจากใส่สีโทนเข้มก่อน อย่างสีน้ำเงิน สีม่วง สีเขียว จากนั้นจึงปรับสู่สีโทนสว่างอย่างสีส้มสดหรือสีเหลืองสด

3. ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดสีพื้นตลอด อาจเปลี่ยนเป็นชุดผ้าพิมพ์ลายสีสด ผสมกับผ้าพื้นเพื่อช่วยให้เกิดความสนุกสนานในการแต่งตัวยิ่งขึ้น

4. การใส่สีสดจัดนั้นไม่จำเป็นต้องใส่เฉดสีเดียวกันทั้งชุด ถ้าจะให้ดูมีรสนิยม เราอาจจับมิกซ์สีต่างเฉดอ่อนเข้มไม่เท่ากันในชุดเดียว เพื่อให้เกิดเลเยอร์และดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น


อาหารที่ช่วยลด ความอยากอาหารได้

อาหารที่ช่วยลด ความอยากอาหารได้

ถ้าคุณรู้สึกว่า การควบคุมตัวเองไม่ให้หยิบช็อกโกแลต หรือคุกกี้รับประทานนั้นเป็นเรื่องแสนยาก รวมทั้งอาการอยากอาหารไม่หยุดหย่อน การรับประทานอาหารที่จะแนะนำนี้ รองท้องหรือระหว่างมื้อ จะช่วยลดความอยากอาหารได้มากขึ้นค่ะ

ถั่ว


แบบที่มีชื่อว่า Pine nute ช่วยระงับฮอรโมนความอยากอาหาร ที่ชื่อว่า Cholecystokinin (CKK) ดังนั้นจึงแนะนำว่า ให้โรยในสลัด พาสต้าโฮลวีท หรืออาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ถ้าหาถั่วชนิดนี้ไม่ได้ ใช้ "อัลมอนด์" แทนได้ เพราะมีปฎิกิริยาขัดขวางการดูดซึงไขมันในร่างกาย ช่วยให้ลดน้ำหนักได้

อาหารร้อน


เช่น ซุป และน้ำชา ด้วยอุณหภูมิที่สูงทำให้ความอยากอาหารลดต่ำลง ดังนั้น ก่อนมื้อหนัก ควรรับประทานซุป หรือน้ำชา ถ้าได้จิบชาเขียวร้อน บอกกันว่า จะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญให้ดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ

แอปเปิ้ล



มีไฟเบอร์มากกว่าพืช องุ่น และส้มเสียอีก ซึ่งไฟเบอร์ช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม ป้องกันการรับประทานมากจนเกินพอดี เพราะฉะนั้นจึงมีคำแนะนำให้รับประทานแอปเปิ้ลก่อนมื้อค่ำค่ะ

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคฝึกสำเนียงอังกฤษเลิศ



พูดคล่องลื่นไหล ออกเสียงสูงต่ำหนักเบาเหมาะสม เรียนรู้กันได้ เพียงหมั่นฝึกทักษะ 4 ข้อ

เริ่มจาก “ฟังบ่อย ฟังเยอะ ฟังหลากหลาย” เริ่มจากสิ่งใกล้ตัว เช่น เพลง ภาพยนตร์ ข่าว จะพบความแตกต่างของภาษา และเห็นการใช้รูปปากเพื่อออกเสียงคำต่างๆ โดยในช่วงแรก “เน้นฟังการออกเสียง สังเกตอารมณ์ความรู้สึกก่อน” ใช้เวลาประมาณวันละ 1-2 ชั่วโมง เพื่อสร้างความเคยชินกับภาษา และโครงสร้าง จากนั้น ซื้อหนังสือบทสนทนามาฝึกอ่าน แล้วออกเสียงตามซีดี

“พกดิกชันนารีติดตัว” ควรเลือกใช้แบบช่วยเสริมภาษา ที่แสดงการถอดเสียงคำอ่าน มีตัวอย่างการใช้คำ ประโยค/วลีค่อนข้างมาก พร้อมคำแปลภาษาไทย เพื่อสะดวกต่อการทำความเข้าใจ และตีความอย่างถูกต้อง

สุดท้าย “ช่างสังเกต” จากคำศัพท์ที่รู้อยู่แล้ว หากเจ้าของภาษาออกเสียงต่างจากเรา สามารถจำมาฝึก แล้วแก้สำเนียงของคำนั้น ๆ ให้ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม การออกเสียงที่ถูกต้อง ใช้เสียงสูงต่ำเหมาะสม จะช่วยให้การพูดภาษาอังกฤษน่าฟัง และเข้าใจความหมายได้ชัดเจน ซึ่งทุกคนสามารถเก่งได้ เพียงหมั่นพัฒนาทักษะอย่างสม่ำเสมอ.

ทำไมเมืองไทยไม่มีหิมะตก



เคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมประเทศไทยไม่มีหิมะ ทั้งๆ ที่ ญี่ปุ่น เกาหลี ที่อยู่ทวีปเอเชียด้วยกัน กลับมีหิมะตกในช่วงหน้าหนาว (เวียดนามก็เคยตกมาแล้ว!!) วันนี้พี่มิ้นท์จะมาคลายปมให้หายสงสัยกันไปเลย

ทวีปเอเชียเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ตั้งบริเวณเส้นศูนย์สูตรไปจนถึงบริเวณขั้วโลกเหนือ อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 77 องศา 45 ลิปดาเหนือ ถึง 1 องศา 45 ลิปดาเหนือ และเส้นลองติจูดที่ 169 องศา 40 ลิปดาตะวันตก ถึง 26 องศา 4 ลิปดาตะวันออก โดยปกติเส้นละติจูดจะทำให้เรารู้สภาพอากาศของต่ำแหน่งประเทศนั้นๆ โดยตำแหน่งที่ตั้งที่มีค่าละติจูดต่ำ ก็จะมีอุณหภูมิสูงกว่าต่ำแหน่งพื้นที่ที่อยู่ละติจูดสูงกว่า เพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากกว่านั่นเอง ด้วยความกว้างขวางขนาดนี้ ทวีปเอเชียจึงมีความหลากหลายทางสภาพภูมิอากาศ เรียกว่ามีตั้งแต่ร้อนแห้งแล้งแบบทะเลทราย ไปจนถึงหนาวแบบขั้วโลก เลย



ยังจำได้ตอนเรียนวิชาภูมิศาสตร์ จะรู้ว่าประเทศไทยตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูด 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ ถึง 20 องศา 25 ลิปดาเหนือ เรียกว่า อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาเพียงนิดเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเขตร้อนชื้น โดยรวมอากาศมาตรฐานของไทยก็จะอบอ้าว สลับกันระหว่างร้อนกับฝนตก ถ้าร้อนก็จะร้อนตับแตก ถ้าฝนก็มีมรสุมหลายชนิด ถ้าหน้าหนาว ก็ให้ได้รู้สึกเย็นบ้างพอเป็นพิธี ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โดยภาคเหนือจะหนาวที่สุด ส่วนภาคใต้จะไม่ค่อยหนาว เน้นฝนตกอย่างเดียว หลังจากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตแบบร้อนๆ ตามเดิม

ด้วยสภาพภูมิอากาศแบบนี้ก็พอจะอธิบายได้ว่า เมืองไทยยังหนาวไม่พอที่หิมะจะตกลงมาได้ เพราะหิมะจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศที่อุณหภูมิต่ำประมาณ 0 องศา หรือถ้ามีฝนตกร่วมด้วยก็อาจจะไม่ต้องถึง 0 องศา เพราะบรรยากาศมีความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสม

ถ้าจะอธิบายง่ายๆ หิมะ ก็คือ การรวมตัวของละอองน้ำในบรรยากาศ ที่ควบแน่นและตกลงมา ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ ฝนค่ะ แต่จะแตกต่างตรงที่เมื่อละอองน้ำเจออากาศเย็นและมีความชื้นที่พอเหมาะ ก็เลยตกลงมาในรูปของผลึกน้ำแข็งนั่นเอง

ดังนั้นพื้นที่ที่จะเกิดหิมะได้ ก็จะต้องอยู่ใต้เส้น Tropic of capricron ในซีกโลกใต้ หรือ อยู่เหนือเส้น Tropic of cancer ขึ้นไปในซีกโลกเหนือ ซึ่งประเทศจีน รัสเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น อยู่เลยเส้นนี้ จึงมีหิมะตกได้ ส่วนประเทศไทยของเราล่ะ อยู่ตรงโซน Equator ซึ่งใกล้เส้นศูนย์สูตรพอดี๊พอดี ก็เลยไม่มีหิมะจ้า (ดูรูปประกอบด้านบน)

จริงหรือไม่ ?? หน้าหนาว ช่วยให้ผอมได้


ปัญหาเรื่องความอ้วน จะรู้สึก และเครียดมากขึ้น ก็ต่อเมื่อจะมีเจ้าก้อนเนื้อมาสิงอยู่รอบเอว รอบต้นขา จนมันแน่นและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แถมยังไม่ยอมไปง่ายๆ หลายคนเลือกกำจัดความอ้วนด้วยวิธีกินยาลดความอ้วนบ้าง ออกกำลังกายแบบหักโหมบ้าง หรือการเข้าซาวน์น่า ใช้ความร้อนลดไขมันบ้าง เพื่อให้ผอมเร็วๆ แต่รู้มั้ยว่า จริงๆ แล้ว ความเย็นก็ช่วยลดความอ้วนได้เหมือนกัน ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ พี่มิ้นท์ว่ายิ่งเข้าทางเลย


ปกติร่างกายมนุษย์มีเซลล์ไขมันอยู่ 2 ชนิด คือ เซลล์ไขมันชนิดสีขาว มีหน้าที่เก็บพลังงานไว้ให้ร่างกายใช้ และรอคำสั่งให้ปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ ดังนั้นถ้ามันถูกสะสมไว้ไม่มีวันถูกเผาผลาญ ก็จะกลายเป็นไขมันส่วนเกินที่ทำให้เราอ้วนนั่นเอง ไขมันชนิดนี้เจอได้ทั่วไป เพราะมันอยู่ใต้ผิวหนัง และรอบอวัยวะต่างๆ ทั้งรอบๆ ขา หรือช่องท้อง เป็นต้น


ส่วนเซลล์ไขมันอีกชนิดหนึ่ง คือ เซลล์ไขมันสีน้ำตาล มีหน้าที่ต่างจากเซลล์ไขมันสีขาว คือ จะคอยเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงานความร้อน และช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นเวลาอากาศหนาว น้องๆ เคยสังเกตมั้ย คนอ้วนมักจะไม่ค่อยหนาวเพราะประการฉะนี้นี่เอง ส่วนคนผอม ก็ได้แต่นั่งสั่น ปากสั่น มือสั่นกันไป


ภาพเซลล์ไขมัน


เซลล์ไขมันสีน้ำตาลนี้พบครั้งแรกในวัยทารก แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า มันจะลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น และสิ่งที่สัมผัสได้ต่อมา ก็คือ ความล้น และรูปร่างของร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น ตามพลังงาน
ที่ถูกสะสมไว้
ศาสตราจารย์อเล็กซานเดอร์ ไฟเฟอร์ แห่งมหาวิทยาลัยบอนน์ ได้อธิบายว่าไขมันสีน้ำตาลเพียง 50 กรัม สามารถกำจัดไขมันสีขาวได้ถึงปีละ 5 กิโลกรัม แต่ว่าไขมันสีน้ำตาลจะต้องได้รับการกระตุ้นให้ทำงานก่อน นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามหาวิธีแปลงไขมันสีขาวให้เป็นพลังงานสีน้ำตาล ซึ่งน่าจะเป็นทางนึงที่แก้ปัญหาโรคอ้วนได้
วาวเทอร์ ฟอน มาร์เคน ลิกเตนเบลต์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมาสตริกท์ เชื่อว่า ความเย็นนี่แหละที่เป็นตัวกระตุ้นไขมันสีน้ำตาลตามธรรมชาติ แถมยังได้ทำการทดลองที่น่าสนใจไว้อีกด้วย


ภาพสแกน แสดงไขมันสีน้ำตาล (แสดงด้วยสีดำ) ของผู้ชายที่อยู่ในที่ที่มีอากาศหนาวเย็น (ขวา) และชายที่อยู่ที่อุณหภูมิห้อง (ซ้าย)


จากการทดลอง เขาได้ให้ชายที่มีน้ำหนักเกิน กับ ชายที่มีน้ำหนักปกติ เข้าไปอยู่ในห้องอุณหภูมิ 16 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลการทดลองที่ออกมาก็คือ ชายที่มีน้ำหนักปกติจะพบว่าเซลล์ไขมันสีน้ำตาลทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิม สำหรับชายที่มีน้ำหนักเกิน ก็พบว่าอากาศเย็น สามารถกระตุ้นการทำงานของไขมันสีน้ำตาลได้เหมือนกัน เพราะว่าไขมันสีน้ำตาลจะช่วยเผาผลาญไขมันเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่ต่ำลง แต่พอกลับมาอยู่ในอุณหภูมิห้อง พบว่าไขมันสีน้ำตาลนั้นไม่ทำงาน ดังนั้นอาจจะพอพูดได้ว่า ความเย็นสามารถแก้ปัญหาโรคอ้วนได้ด้วยการกระตุ้นให้เซลล์ไขมันสีน้ำตาลทำงาน


ใครที่คิดจะควบคุมน้ำหนัก ก็คงได้วิธีใหม่ๆ โดยใช้แนวคิดที่ว่า ไขมันก็สามารถกำจัดไขมันได้ คือ การแปลงไขมันสีขาวให้เป็นไขมันสีน้ำตาล เพราะ เซลล์ไขมันสีน้ำตาลมีสรรพคุณอันยอดเยี่ยม ถ้าได้รับการกระตุ้นที่ดี ก็จะกลายเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องไปอดอาหารให้ร่างกายอ่อนแอลงอีก ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงอากาศเย็นได้ที่เลย ใครที่คิดจะลดน้ำหนักก็ลองหันมาใช้ชีวิตท่ามกลางความเย็นให้คุ้มหน่อย ถ้ายังมัวแต่นอน(เพราะมันสบาย) ต่อไป นอกจากน้ำหนักจะไม่ลดแล้ว อาจจะทำให้อ้วนมากขึ้นกว่าเดิม

แสงไฟแบบไหนเหมาะใช้อ่านหนังสือ?

แสงไฟแบบไหนเหมาะใช้อ่านหนังสือ?

เช็ค “แสงไฟ” ในห้องอ่านหนังสือ เลือกใช้ถูกหลักหรือไม่ พร้อมวิธีแก้ไขควรปฏิบัติ ช่วยถนอม “สายตา” บอกลา “อาการตาเพลีย”



หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลังอ่านหนังสือ มักปวดรอบ ๆ ตา และหน้าผาก ตาพร่ามัว ตาลายเป็นพัก ๆ เคือง แสบ หรือ มีน้ำตาไหลร่วมด้วย นั่นเป็นสัญญาณของอาการ “ตาเพลีย” ซึ่งมักเกิดจากการใช้สายตาขณะแหล่งแสงไม่เพียงพอ ดังนั้น เพื่อดวงตาคู่สวยทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพไปนาน ๆ การเลือกใช้แสงไฟอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น

สำหรับ “แสงจากธรรมชาติ” ควรเลี่ยงแสงสว่างจ้า เพราะจะทำให้สายตาอ่อนล้า หากมืดเกินไปก็เป็นปัจจัยทำสายตาสั้นได้เช่นกัน จึงควรหาโคมไฟติดไว้ เพื่อช่วยปรับแสงให้พอดีกับสภาพแวดล้อมแต่ละวัน



หากเป็น “แสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะ” ควรใช้หลอดที่มีแสงสีนวล เลี่ยงแสงสีขาว หรือ เหลืองเกินไป เพราะจะทำให้แสงแยงตา ทั้งนี้ เพื่อการมองตัวหนังสือได้แจ่มชัด แสงที่ตกสะท้อนจากกระดาษไม่ตกเข้าตา ควรจัดวางตำแหน่งโคมไฟให้แสงเข้าด้านข้างซ้ายมือจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ช่วยให้อ่านได้สบายตา และนานขึ้น ทั้งยัง เป็นการลบเงาที่จะเกิดขึ้นด้วย

นอกจากนั้น ควรเลี่ยงอ่านหนังสือในบริเวณที่เป็น “แสงไฟกระพริบ” เพราะจะส่งผลให้ประสาทตาเสียเร็ว เนื่องจากถูกกระตุ้นตามจังหวะกระพริบของแสงนั่นเอง.