วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันดื่มนมโลก World Milk Day


วันดื่มนมโลก (World Milk Day) ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี

องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ หรือ The Food and Agriculture Organization หรือ FAO กำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี เป็น 'วันดื่มนมโลก' (World Milk Day) เพื่อให้ประเทศต่างๆ และองค์กรที่ให้ความสำคัญและสนับสนุนการบริโภคนม ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์และกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการบริโภคนม ด้วยการให้ความรู้และคุณประโยชน์ของนมให้แก่ประชาชน โดย ปัจจุบันมีมากกว่า 35 ประเทศทั่วโลก ที่ได้มีการจัดกิจกรรมวันดื่มนมโลก

'นม' เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแท้จริง มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ (International Osteoporosis Foundation หรือ IOF) ระบุว่านมและผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆ เป็นอาหารพร้อมบริโภคที่หาได้ง่าย จัดอยู่ในกลุ่มอาหารที่มีแร่ธาตุแคลเซียมสูงที่สุด ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง โดยเป็นแคลเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีที่สุดและยังเป็นแหล่งรวม สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะให้ทั้งโปรตีนและเกลือแร่ที่สำคัญ เช่น ฟอสฟอรัส คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และวิตามิน นมช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง การสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกตั้งแต่อายุยังน้อยๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกแตกหักได้ง่ายเมื่ออายุมากขึ้น

ธาตุอาหารใน 'นม' ทั้งโปรแตสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ล้วนมีส่วนช่วยไม่ให้ความดันโลหิตสูงเกินกว่าปกติ เพื่อสุขภาพฟันที่ดี โดยปกติเนื้อฟันมีสารเคลือบที่ถือเป็นส่วนที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียม ฟันจึงต้องการแคลเซียมเพื่อช่วยเสริมสร้างให้ฟันแข็งแรงมีสุขภาพดี นมอุดมด้วยแคลเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อฟัน มีโปรตีนที่ช่วยให้ฟันเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และช่วยเคลือบผิวฟันอีกด้วย ช่วยคุมน้ำหนัก หลายๆ คนหลีกเลี่ยงไม่ดื่มนมเพราะเชื่อว่านมทำให้อ้วน แต่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นนมสด นมพร่องไขมัน หรือนมไม่มีไขมัน มีปริมาณไขมันแค่เพียง 3.9%, 1.7%, และ 0.3% เท่านั้น

นอกจากนี้ 'นม' ยังเป็นเครื่องดื่มที่มอบความสดชื่นไม่แตกต่างจากน้ำดื่ม การดื่มนมเพียงหนึ่งหรือสองแก้วจะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นและยังทำให้ได้รับ คุณค่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการอีกด้วย นม 1 กล่อง เท่ากับทุกคุณค่าของสารอาหารที่ร่างกายต้องการ แคลเซียม สร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟันวิตามินบี 12 ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงคาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานกับร่างกายแมกนีเซียม สร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อฟอสฟอรัส สร้างพลังงานให้กับเซลล์ในร่างกาย และทำให้กระดูกแข็งแรงโปรแตสเซียม ช่วยรักษาระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ โปรตีนสร้างเสริมการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 2 ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพดี ช่วยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

ภาพจาก http://www.worldmilkday.com/
ข้อมูลจาก http://news.showded.com/221289_1-%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-world-milk-day

โดนัท เดย์ National Donut Day


วันโดนัทแห่งชาติ หรือ National Doughnut Day ตรงกับวันศุกร์แรก ของเดือนมิถุนายน ของทุกปี เป็นวันสำคัญของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในวันนี้จะมีการแจกโดนัทฟรี ตามร้านต่างๆ ให้ได้ไปรับประทานกัน

วันโดนัทแห่งชาติ มีที่มาจากหน่วยบรรเทาทุกทหารในชิคาโก้ เมื่อปี 1938 เพื่อเป็นเกียรติแก่หญิงสาวที่ไปเสิร์ฟโดนัทให้ทหารในระหว่าง สงครามโลก ครั้งที่ 1

ซึ่งต่อมา ร้านโดนัทนับพันร้านค้าในสหรัฐอเมริกา ก็ได้เสนอให้มีการแจกโดนัทฟรีในวันนี้ เมื่อปี 2009 ไม่ว่าจะเป็นร้านโดนัทอิสระ หรือว่าร้านแบบเฟรนไชส์

ที่มา http://news.voicetv.co.th/global/11508.html

ความเป็นมาวันฮาโลวีน


ความเป็นมาวันฮาโลวีน
วันฮาโลวีน เรามักจะคุ้นเคยเรียกกันเป็นภาษาปากว่า วันปล่อยผี ในวันดังกล่าวมักมีการจัดตกแต่งบ้านเรือน ร้านค้า โดยใช้ฟักทองที่คว้านเป็นรูปผี หรือใช้วัสดุอื่น ๆ ประดิษฐ์เป็นตัวผีหรือทำให้มีหน้าตาเป็นผีเพื่อสร้างบรรยากาศให้กลายเป็นงานรื่นเริง วันฮาโลวันมีที่มาอย่างไร และเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้นในเรื่องนี้ คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล แห่งราชบัณฑิตยสถาน ได้จัดทำคำอธิบายถึงประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจของ “ฮาโลวีน” ไว้ดังนี้


ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Evs ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย โดยวิธีตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween คำ Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน แปลว่า ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำ Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่า ๆ เช่น Hallowed be thy Name (ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ)

คำ Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ คำ All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่า วันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Chrismas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาส ชาวคาทอลิกพร้อมใจกันเลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไปหลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย และเรียกว่า วันวิญญาณในแดนชำระ (All Souls Day) เพื่อให้คู่กับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints Day)

การสมโภชนักบุญทั้งหลายเริ่มโดยสันตะปาปาโบนีเฟสที่ 4 (Boniface IV ครองอำนาจ ค.ศ. ๖๐๘–๖๑๕) โดยกำหนดวันที่ ๑๓ พฤษภาคมของทุกปี ตั้งแต่ ค.ศ. ๖๑๓ เป็นต้นมา สาเหตุเนื่องจากเป็นวันเปิดโบสถ์แพนทีอัน (Pantheon) อันเป็นโบสถ์สรรพเทพของชาวโรมันมาแต่เดิม และจักรพรรดิโฟกัส (Phocas) ยกให้เป็นของคริสต์ศาสนา ต่อมา สันตะปาปากรีโกรีที่ ๔ (Gregory IV ครองอำนาจ ค.ศ. ๘๒๗–๘๔๔) เปลี่ยนเป็นวันที่ ๑ พฤศจิกายน ตั้งแต่ ค.ศ. ๘๓๕ เป็นต้นมา

ชาวคาทอลิกขณะนั้นถือว่าวันฮาโลวีนมีความสำคัญคู่เคียงกันกับวันคริสต์มาสและวันอีสเตอร์จึงเริ่มงานตั้งแต่วันก่อนหรือวันสุกดิบ ขณะนั้นเกาะอังกฤษยังรับอำนาจของสันตะปาปาอยู่ ชาวอังกฤษจึงรับนโยบายของสันตะปาปาไปปฏิบัติตาม



ด้วยเหตุที่ชาวเผ่าเคลต์ของเกาะอังกฤษ (ไอร์แลนด์และสกอตแลนด์) ถือเอาวันที่ ๑ พฤศจิกายน เป็นวันต้นฤดูหนาวและเป็นวันขึ้นปีใหม่ (Samhoin) มาเป็นเวลานานแล้ว โดยจัดพิธีเป็น ๒ วัน คือวันสุกดิบ (๓๑ ตุลาคม) เป็นวันทำบุญเลี้ยงผี ซึ่งเชื่อกันว่าทั้งคืนจะมีผีออกเพ่นพ่านรับส่วนบุญ เมื่อจัดทำพิธียกอาหารทำบุญแล้วก็ปิดประตูหน้าต่างอยู่แต่ในบ้านอธิษฐานขอให้ผีไปที่ชอบ ๆ วันรุ่งขึ้น (๑ พฤศจิกายน) เป็นวันปีใหม่ ได้ทำพิธีบูชาเทพเจ้าตามด้วยการรื่นเริงตามประเพณี เมื่อชนพวกนี้ยอมรับนับถือศาสนาคริสต์แล้วก็ยังคงปฏิบัติประเพณีนี้ต่อมา ครั้นได้รับนโยบายจากสันตะปาปาแล้ว ผู้นำศาสนาก็หาวิธีแทรกพิธีกรรมของศาสนาคริสต์เข้ากับประเพณีเดิม วันสุกดิบจึงกลายเป็นวันทำบุญให้วิญญาณของผู้ล่วงลับที่อาจจะยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์ คือวิญญาณที่ยังใช้โทษใช้บาปกรรมของตนยังไม่หมดสิ้น ยังอยู่ในแดนชำระ (purgatory) จึงทำพิธีสวดอ้อนวอนขอพระเป็นเจ้าเมตตาให้ได้ขึ้นสวรรค์เร็วขึ้น

วิญญาณเหล่านี้จึงไม่น่ากลัวเหมือนผีที่เร่ร่อนขอส่วนบุญ เมื่อชาวบ้านหันมานับถือศาสนาคริสต์แล้วก็ไม่เชื่อเรื่องผีมาขอส่วนบุญอีก แต่ก็ยังถ่ายทอดประเพณีนี้ต่อไป โดยปรับให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ คือคืนวันสุกดิบถือเป็นคืนเล่นผี มีผู้แต่งตัวสมมุติเป็นผีออกเพ่นพ่านขอส่วนบุญ ใครที่ไม่ชอบแต่งตัวเป็นผีก็ยินดีจัดเลี้ยงต้อนรับผีในครอบครัวของตน โดยคว้านฟักทองหรือใช้วัสดุอื่นทำให้มีหน้าตาเป็นผี สร้างบรรยากาศให้มีผีในบ้านต้อนรับผีนอกบ้าน กลายเป็นงานสนุกสนานรื่นเริงที่มีบรรยากาศแปลก วันรุ่งขึ้นจึงเป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย และต่ออีกวันหนึ่งจึงเป็นวันทำบุญให้วิญญาณในแดนชำระ

เมื่อชาวไอริชและชาวสกอตอพยพไปตั้งหลักแหล่งในสหรัฐอเมริกาก็นำเอาประเพณีนี้ไปปฏิบัติ ปรากฏว่าถูกใจชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติ จึงปฏิบัติตามกันอย่างจริงจังตลอดมา และตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมาก็กลายเป็นเทศกาลประจำชาติมาจนทุกวันนี้

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เงาะโรงเรียน ทำไมไม่เป็นเงาะอาชีวะหรือเงาะมหาวิทยาลัย


ก็เพราะเงาะพันธ์นี้ไม่ได้ปลูกในวิทยาลัยอาชีวะหรือในมหาวิทยาลัยนะสิ

เงาะโรงเรียนหรือเงาะพันธุ์โรงเรียน เป็นเงาะพันธุ์ที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน เงาะในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ตลอดทั้งเกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก ก็ไม่มีประเทศใดที่มีเงาะคุณภาพดีเท่ากับเงาะพันธุ์โรงเรียน แม้แต่ในมาเลเซียซึ่งเราได้เมล็ดเงาะพันธุ์นี้มา จึงกล่าวได้ว่าเงาะพันธุ์โรงเรียนเป็นเงาะพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้

คำว่า "โรงเรียน" หมายถึง โรงเรียนนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานีเงาะต้นแม่พันธุ์มีเพียงต้นเดียว ปลูกด้วยเมล็ดเมื่อปี พ.ศ.2469 โดยชาวจีนผู้หนึ่งมีสัญชาติมาเลเซีย ชื่อ Mr. K. Wong มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เมืองปีนัง บุคคลผู้นี้ได้เข้ามาทำเหมืองแร่ดีบุกที่หมู่บ้านเหมืองแกะ ตำบลนาสาร อำเภอบ้านนาสาร ตรงกันข้ามกับโรงเรียนนาสาร เมื่อ Mr. K. Wong มาทำเหมืองแร่ก็ซื้อที่ดินริมทางรถไฟด้านทิศตะวันตก ใกล้กับสถานีรถไฟนาสารเป็นเนื้อที่ 18 ไร่ แล้วสร้างบ้านพักบนที่ดินดังกล่าว เมื่อสร้างบ้านเสร็จ Mr. K. Wong ก็นำพันธุ์(เมล็ด)เงาะมาจากเมืองปีนัง(ขณะนี้เงาะพันธุ์นี้ที่เมืองปีนึงไม่มีแล้ว) มาปลูกข้างบ้านพักจำนวน 4 ต้น ต่อมาปรากฏว่าเงาะมีลูกเป็นสีเหลืองบ้าง แดงบ้าง รสเปรี้ยวบ้าง หวานบ้าง เฉพาะต้นที่ 2 นับจากทิศตะวันออกมีลักษณะพิเศษกว่าต้นอื่น คือ เนื้อสุกแล้วเปลือกผลเป็นสีแดง แต่แม้สุกจัดเท่าไหร่ก็ตาม ขนที่ผลยังมีสีเขียวอยู่ รูปผลค่อนข้างกลม เนื้อกรอบ หวาน หอม เปลือกบาง เงาะต้นนี้คือ "เงาะพันธุ์โรงเรียน"

สาเหตุที่เรียกว่าเงาะพันธุ์โรงเรียน เพราะในปี พ.ศ.2479 Mr. K. Wong ต้องเลิกล้มกิจการเหมืองแร่และเดินทางกลับไปอยู่ที่เมืองปีนังภูมิลำเนาเดิม จึงขายที่ดินดังกล่าวพร้อมด้วยบ้านพักให้แก่กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ) แผนกธรรมการ อำเภอบ้านนา (อำเภอบ้านนาสาร) ทางราชการจึงปรับปรุงบ้านพักใช้เป็นอาคารเรียน และย้ายโรงเรียนนาสารซึ่งขณะนั้นตั้งอยู่ที่วัดนาสารมาอยู่อาคารดังกล่าว เมื่อวันที่ 17 พฤศจิการยน พ.ศ.2479 แต่เงาะพันธุ์โรงเรียนในขณะนั้นยังมิได้แพร่หลายแต่ประการใด เนื่องจากการส่งเสริมทางการเกษตรยังไม่ดีพอ ในปี พ.ศ.2489-2498 มีบุคคลตอนกิ่งไปขายพันธุ์เพียง 3-4 รายเท่านั้น

ครั้นถึงปี พ.ศ.2500-2501 ได้มีกรรมวิธีแพร่พันธุ์เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คือการทาบกิ่ง มีการทาบกิ่งเงาะต้นนี้ไปเป็นจำนวนมาก ในระยะเดียวกันนั้น เงาะที่มาจากจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส คือเงาะพันธุ์ยาวี เจ๊ะโมง เปเราะ ก็เข้ามาแพร่หลายพอสมควร ประชาชนเห็นว่าเงาะต้นนี้ยังไม่มีชื่อ จึงชักชวนกันเรียกเงาะต้นนี้ว่า "เงาะพันธุ์โรงเรียน" เพราะต้นแม่พันธุ์อยู่ที่โรงเรียนนาสาร

ปี พ.ศ.2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯมาที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้นำชาวสวนเงาะผู้หนึ่งได้ทูลเกล้าฯถวายเงาะพันธุ์โรงเรียน และขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อพันธุ์เงาะนี้เสียใหม่ พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า "ชื่อเงาะพันธุ์โรงเรียนดีอยู่แล้ว" นับแต่นั้นมา ไม่มีใครกล้าที่จะเปลี่ยนชื่อเงาะพันธุ์นี้อีกต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : 108 ซองคำถาม

ติ่งหูมีไว้ทำอะไร


คำถามนี้บางคนอาจตอบได้ทันทีว่า ติ่งหูก็มีไว้ใส่ตุ้มหูน่ะซี

แต่นักวิชาการด้านสรีรวิยาและพัฒนาการของมนุษย์สันนิษฐานว่า บรรพบุรุษของเราเมื่อครั้งยังเดินสี่ขา มีติ่งหูที่ใหญ่กว่านี้เพื่อปกป้องอันตรายที่อาจเกิดแก่รูหูได้ แต่ดูเหมือนว่าติ่งหูจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดี จึงถูกลดขนาดให้เล็กลงอย่างในปัจจุบัน

ส่วนนักมนุษวิทยาอธิบายไว้ว่า ติ่งหูเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้ามบรรดานักวิชาการและนักทฤษฏีทั้งหลายต่างก็ต้องเผชิญปัญหาเรื่องการหาเหตุผล มาอธิบายว่า ทำไมอวัยวะหลาย ๆ ส่วนในร่างกายมนุษย์ที่ดูจะไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไหร่ จึงไม่หดหายไปจากร่างกายมนุษย์เสียเลย แต่ยังคงติดอยู่กับตัวมนุษย์ครบถ้วน

คล้ายกับว่าธรรมชาติพยายามเก็บรักษารายละเอียดทางพันธุกรรมเอาไว้ให้ครบถ้วนแม้ว่าสิ่งนั้นจะขัดแย้งกับการคัดเลือกตามธรรมชาติก็ตาม ร่างกายมนุษย์จึงเป็นเสมือนพิพิธภัณท์ที่เก็บสะสมมรดกแห่งวิวัฒนาการของ มนุษย์นั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: 108 ซองคำถาม

รู้จักส้ม


รู้จักส้ม
พืชจำพวกส้มและมะนาวอยู่ในสุกล Citrus วงศ์ Rutaceae พืชสกุลนี้จะมีผลชนิดพิเศษที่ไม่เหมือนใครในโลก ผลชนิดนี้มีชื่อทางการว่า Hesperidium กล่าวคือเปลือกนอกคล้ายหนังข้างในมีเนื้อรับประทานได้ซึ่งแบ่งออกเป็นออกเป็นห้องเล็ก ๆ หรือกลีบ ตั้งแต่แปดกลีบขึ้นไปในกลีบมีถุงเล็ก ๆ รวมเป็นก้อน แต่ละถุงบรรจุเมล็ด และน้ำผลไม้ที่มีคุณค่ายอดยิ่ง แต่ทุกวันนี้มีส้มและมะนาวสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีเมล็ดเกิดขึ้นแล้ว
พืชตระกูลส้มที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดีได้แก่ ส้ม orange (C. sinensis) เกรพฟรุด (C. paradisi), ส้มเขียวหวาน (Mandarin orange or Tangerine) (C" reticulata), มะนาวฝรั่ง และมะนาวไทย lemon (C.limon) and lime (C. aurantifolia and C. latifolia) ส้มเช้ง ส้มโอ shaddock, or pummelo, (C. maxima)
ส้มปลูกขึ้นในเขตร้อนและอบอุ่นเท่านั้น และปริมาณความต้องการบริโภคส้มและมะนาวของโลกพุ่งสูงอย่างน่าตกใจหลังปี ค.ศ. 1890 เมื่อแพทย์ค้นพบการรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือ scurvy โดยการดื่มน้ำส้มหรือมะนาวเพียงวันละแก้ว



ส้มกับโรค Scurvy
Scurvy หรือที่เรียกเป็นไทยว่าโรคลักปิดลักเปิด เป็นโรคจาการขาดสารอาหารอันดับแรกที่มนุษย์รู้จัก เกิดจากการขาดวิตามินซีซึ่งมีในผักผลไม้สดโดยเฉพาะอย่างยิ่งส้มและมะนาว
วิตามินซีเป็นสารอาหารที่จำเป็นมากสำหรับมนุษย์ ขณะที่สัตว์ส่วนใหญ่และพืชสามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้จากน้ำตาลกลูโคส วิตามินซีช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อการได้รับวิตามินซีปริมาณเพียงพอจึงช่วยให้แผลหายได้เร็ว และในทางกลับกัน การขาดวิตามินซีทำให้แผลหายช้า แพทย์หลายท่านจึงนิยมจ่ายวิตามินซีชนิดเม็ดพร้อมยารักษาแผล แต่ผมอยากแนะนำให้รับประทานน้ำส้ม ซึ่งจะได้วิตามินซีและสาร สำคัญอื่น ๆ พร้อมด้วย
อาการของโรค Scurvy คือเหงือกบวม มีเลือดออกตามไรฟันถ้าเป็นมาก ฟันถึงกับหลุดร่วงได้มีจ้ำเลือดเห็นเป็นสีเขียวใต้ผิวหนัง ปวดข้อ แขนขาเคลื่อนไหวลำบาก แผลหายช้า เลือดจาง เป็นต้น
บันทึกที่เป็นหลักฐานว่ามนุษย์รู้จักโรค Scurvy คือช่วงสงครามครูเสด และในช่วยปลายศตวรรษที่ 15 scurvy กลายเป็นสาเหตุการตายและทุพลภาพที่ สำคัญในชาวเรือ
จนถึงปี ค.ศ. 1753 เริ่มค้นพบว่า สาเหตุของโรคน่าจะมาจากการกินอาหารไม่ถูกต้อง โดยศัลยแพทย์เจมส์ลินด์ ได้แสดงให้เห็นว่า Scurvy อาจหายได้ด้วยการกินน้ำส้ม หรือมะนาว นับแต่นั้นมา โรค Scurvy ก็ค่อยลดความรุนแรงลง ขณะที่ส้มและมะนาวกลายเป็นที่ต้องการของคนทั้งโลก ทุกวันนี้เราพบโรคขาดวิตามินซีได้ในคนแก่ที่ได้รับอาหารไม่ถูกต้อง หรือเลือกรับประทานอาหาร และในเด็กทารกที่ไม่ได้ทานนมมารดาและไม่มีการเสริมด้วยน้ำส้มสด
แม้ผู้ที่มีอาการ Scurvy ขั้นรุนแรง หากได้ทานวิตามินซี 100 มก. หรือเท่ากับส้มสด 2-3 ผล ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์อาการจะทุเลารวดเร็ว


วิตามินซี-สารจำเป็นของมนุษย์
ส้มและมะนาว เป็นแหล่งให้วิตามินซีที่ดีมากสำหรับมนุษย์เพราะส้มหนึ่งผลทั่ว ๆ ไปจะให้วิตามินซีถึงประมาณ 70 มก. ซึ่งมากเกินพอสำหรับความต้องการใน 1 วัน แต่เนื่องจากการที่มันไม่ถูกสะสมไว้ในร่างกายเราจึงต้องได้รับวิตามินซีทุกวัน
ผลไม้ไทย ๆ ที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีวิตามินซีสูงสุดที่ผมจำได้ คือ ฝรั่ง ฝรั่ง 1 ลูกให้วิตามินซีสูงถึง 120 มก.


ส้มกับโรคหัวใจ
ดังได้กล่าวแล้วว่าส้มและมะนาวให้วิตามินซีในปริมาณสูง บัดนี้มีรายงานผลการค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างวิตามินซีกับโรคหัวใจที่น่าติดตามคือ รายงานเรื่อง Vitamin C may protect against heart at tack, stroke. โดย Stenson J. ใน Medical Tribune 1995 Jul 13;36(13):21 ว่าผลการศึกษาสองชิ้นจากอังกฤษสนับสนุนความเชื่อที่ว่า อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น น้ำส้มจะช่วยป้องหันโรคหัวใจได้ งานวิจัยที่หนึ่ง นักวิจัยพบว่าการได้รับวิตามินซี 60 มก. ต่อวัน (เท่ากับส้มหนึ่งผล) มีความสัมพันธ์กับการลดความเข้มข้นของไฟบริโนเจนในปริมาณที่ทำให้อัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจชนิด ischmic heart disease ลดลงราวร้อยละ 10 การศึกษาชิ้นที่สอง พบว่า
คนสูงอายุที่มีระดับวิตามินซีในกระแสเลือดต่ำมีโอกาสเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะได้บ่อยกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนสูงอายุที่ต้องอยู่ตามลำพัง จัดหาอาหารเองซึ่งเสี่ยงต่อการได้รับโภชนาการที่ไม่ถูกต้อง ในอังกฤษจำนวนผู้เสียชีวิตจะสูงขึ้นถึงร้อยละ 30 ในฤดูหนาวเมื่อเทียบกับฤดูอื่น ๆ โรคสำคัญของฤดูหนาว คือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ และโรคระบบทางเดินหายใจ พวกเขาแนะนำให้ผู้สูงอายุรับประทานผักและผลไม้สดมาก ๆ เพื่อลดอัตราเสี่ยงจากโรคหัวใจและยังให้ข้อสังเกตว่า
การป้องกันโรคหัวใจอาจไม่ได้เป็นผลจากวิตามินซีตัวเดียวโดด ๆ แต่อาจมีสาร สำคัญอื่น ๆ ในผลไม้ที่ให้ผลทีว่า ดังนั้นการรับประทานผักและผลไม้สดย่อมดีกว่าวิตามินซีชนิดเม็ด
นอกจากนี้งานวิจัย Vitamin C and risk of death from stroke and coronary heart disease in cohort of elderly people ของ Gale CR, Martyn CN, Winter PD, Cooper ใน BMJ 1995 Jun 17;310(6994):1563-6 ซึ่งศึกษาประวัติย้อนหลังไปถึง 20 ปีในผู้สูงอายุ 720 คนทั้งหญิงและชายได้ตอกย้ำความคิดที่ว่า พืชผักที่อุดมด้วยวิตามินซีสามารถลดอัตราเกิดโรคหัวใจในผู้สูงอายุได้เช่นกัน โดยพวกเขาพบว่า อัตราตายจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะสูงสุดในกลุ่มที่มีระดับวิตามินซีในกระแสเลือดต่ำสุด


ประโยชน์ของไลมอนอยด์ (limonoids) เป็นสารประกอบทางชีววิทยาที่พบเป็นปริมาณมาก ในผลไม้ตระกูลส้ม และมีฤทธิ์นานาประการ รวมทั้งมีผลเป็นสารต่อต้านมะเร็งด้วย ในการทดลองกับเซลล์มะเร็งของมนุษย์ และเซลล์เนื้องอกในสัตว์ทดลองพบว่า สารดังกล่าวนี้มีประสิทธิภาพในการสู้รบ กับมะเร็งในช่องปาก คอ ปอด กระเพาะอาหาร ลําไส้ ผิวหนัง ตับ และเต้านม ไลมอนอยด์

โดยพบอยู่เฉพาะในพืชสองตระกูล เท่านั้น คือ พืชตระกูลส้ม และตระกูลมะฮอกกานี ในธรรมชาติ สารดังกล่าวทําหน้าที่ป้องกันพืชจากบรรดาศัตรูที่มุ่งร้าย ตัวอย่างง่ายๆ ที่ชาวไร่ชาวสวน ใช้ประโยชน์กันอยู่แล้ว ก็คือสารประเภทไลมอนอยด์ซึ่ง สกัดจากพืชในกลุ่มสะเดา (Neem) ซึ่งก็เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลมะฮอกกานี


ประโยชน์ของน้ำมันผิวส้ม
-ผิวพรรณ ช่วยในการสร้างคอลลาเจนและเนื่อเยื่อรักษาแผลต่างๆ ลดริ้วรอยความเหี่ยวย่น
-ระบบหมุนเวียนและกล้ามเนื้อ ปรับสมดุลการเต้นของหัวใจ
-กล้ามเนื้อและข้อต่อ ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ
-ระบบทางเดินหายใจแก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ
-ระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการดูดซึมวิตามินซี ทำให้มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสได้ดี แก้ไข้
-ระบบทางเดินอาหาร แก้อาการเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะที่เกิดจากความเครียดแก้ท้องเสีย แก้ท้องผูก กระตุ้นน้ำดีทำให้ย่อยไขมันได้ดี ทำให้เจริญอาหาร
-ระบบสืบพันธุ์ แก้ปวดประจำเดือน
-ระบบปัสสาวะ ขับเหงื่อ ทำให้ขับสารพิษได้ดี
-ระบบประสาทและจิตใจ ช่วยให้คลายเครียด หายซึมเศร้า หดหู่ แจ่มใสขึ้น ช่วยให้รู้สึกหายเหนื่อย นอนหลับ ฟื้นฟูพลังงานและสุขภาพ

ที่มา : วารสาร หมออนามัย คอลัมน์ ตู้ยาสอ. หน้า 57 ฉบับที่ 2 ปีที่ 9 เดือน กันยายน-ตุลาคม พ.ศ. 2542

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับการทำข้อสอบวิชาเฉพาะแพท


ทันตแพทย์สม สุจีรา www.Tutorsom.com

บทความก่อนหน้านี้ วิเคราะห์คะแนนวิชาเฉพาะแพทย์ http://www.unigang.com/Article/8411

แนวข้อสอบวิชาเฉพาะแพทย์ http://www.unigang.com/Article/8083

เรียนแพทย์ดีอย่างไรตอนที่ 2 http://unigang.com/Article/7807

เรียนแพทย์ดีอย่างไรตอนที่ 1 http://www.unigang.com/Article/7771

มีข่าวออกมาว่า ข้อสอบวิชาเฉพาะแพทย์ในปีนี้จะมีการเปลี่ยนแนวไปจากเดิม ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า ข้อสอบจะเป็นอย่างไร เพราะถูกเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด

จากสถิติปีก่อนๆ คะแนนสอบเข้าแพทย์เฉือนกันที่ทศนิยม หลายๆคนแพ้เพียงนิดเดียว ก็สอบไม่ติดแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะหมายถึงวิถีชีวิตทั้งชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล คะแนนของวิชาเฉพาะแพทย์จึงสำคัญ เพราะมีค่าน้ำหนักถึง 30ใน 100คะแนนของการสอบเข้า ดังนั้นไม่ว่าออกสอบจะออกอย่างไร น้องควรมีเทคนิคการทำข้อสอบวิชานี้ไว้ให้อุ่นใจ

คำว่า DOCTOR สื่อให้เห็นคุณสมบัติของแพทย์ 6ประการตามตัวอักษรคือ D=Decision การตัดสินใจ O=Optimism มองโลกในแง่ดี C=Care ดูแล เสียสละ T=Teacher สอนเป็น O=Observation ช่างสังเกต R=Responsibility มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าข้อสอบจะเป็นแบบใด จะต้องมีการทดสอบคุณสมบัติเหล่านี้ของนักเรียน

คำตอบในวิชาเฉพาะแพทย์ ไม่เฉพาะเจาะจงเหมือนคำตอบในวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ หรือ เคมี แต่จะมีเพียงตัวเลือกเดียวที่คะแนนสูงที่สุด น้องต้องเลือกตัวเลือกนั้น โดยวิเคราะห์ตามคุณสมบัติ 6ประการ เช่น คำถามที่ว่า “ท่านคิดอย่างไรกับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค” ก.เป็นผลงานรัฐบาลเก่า ไม่ควรสนับสนุน ข.เป็นโครงการที่หมอทำงานหนักขึ้น ค. เป็นโครงการที่หลักการดี ง.ไม่ควรทำเพราะซ้ำซ้อนกับระบบประกันสังคม จ.เป็นโครงการที่ทำให้หมอลาออกจำนวนมาก โจทย์ข้อนี้ต้องการวัด Optimismดังนั้นถ้านักเรียนตอบข้อ ก. ข. หรือ จ. แสดงให้เห็นถึงการมองโลกในแง่ร้าย จะไม่ได้คะแนน

อีกตัวอย่าง นางกุ้งกลับจากสัมมนาพร้อมนางก้อย ปรากฏว่าระหว่างทางนางก้อยขับรถชนคนแก่ โดยที่ไม่มีใครเห็น แล้วจะหนี ถ้าคุณเป็นนางกุ้งจะทำอย่างไร ก. แจ้งความแล้วบอกว่าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ข. บอกให้ก้อยมอบตัว

ค.โทรบอกแม่ก้อย แล้วให้แม่ตัดสินใจ ง. ขอลงจากรถไปช่วยคนแก่ก่อน จ.เก็บไว้เป็นความลับ รู้กันแค่สองคน ข้อนี้ต้องตอบข้อ ง. เป็นการวัดคุณสมบัติ CARE



ส่วนคำถามที่วัดความรับผิดชอบ ต้องระวังอยู่อย่างหนึ่ง คือ ความรับผิดชอบของแพทย์ไม่ได้ครอบจักรวาล ดังนั้นใครที่คิดว่าตอบแบบพระเวสสันดร จะได้คะแนนสูง เป็นความเข้าใจที่ผิด เช่น โจทย์ถามว่า เมื่อมีวัยรุ่นท้องนอกสมรสมาขอทำแท้งกับท่าน ท่านควรทำเช่นไร ก.นัดพ่อแม่ของเด็กมาคุยเพื่อช่วยกันวิเคราะห์หาทางออก ข.เรียกแฟนของวัยรุ่นคนนั้นมาแล้วโน้มน้าวให้แสดงความรับผิดชอบ ค.บอกเด็กว่าอย่าทำแท้ง หมอจะช่วยดูแลและหาสถานรับเลี้ยงเด็กให้ ง.ไม่ทำแท้งให้ และส่งให้ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ดูแลต่อ จ. แนะนำให้ไปสถานที่คุมกำเนิดของเอกชนแทน คำตอบ ข้อ ก. ข. และ ค. อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของหมอ ดังนั้น ข้อที่เหมาะสมที่สุดคือ ข้อ ง. ซึ่งหลายคนอาจตอบข้อ ก. ข. หรือ ค. แต่ความจริงแล้วข้อเหล่านั้นคะแนนไม่สูง ( วิธีการให้คะแนนของวิชาเฉพาะแพทย์ก็ถูกเก็บเป็นความลับเช่นกัน แต่เข้าใจว่า ตอบได้เพียงข้อละตัวเลือก แต่ละตัวเลือกจะมีคะแนนต่างๆกันไป รวมทั้งมีคะแนนติดลบด้วย)

ข้อสอบปีที่ผ่านมา ออกแบบวัด Decision และ Observation โดยให้กรณีตัวอย่างมายาวมากประมาณเกือบหนึ่งหน้ากระดาษ แล้วให้วิเคราะห์สถานการณ์นั้น ส่วนคุณสมบัติด้าน Teacher มักจะออกในรูปของการวิเคราะห์ทัก๋ษะทำงานกลุ่ม การเป็นผู้นำกลุ่ม เพราะแพทย์ต้องทำงานเป็นทีม และต้องสอนบุคลากรที่เกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา

คำถามที่วัด การมองโลกในแง่ดี จะรวมไปถึงการควบคุมอารมณ์ด้วย แพทย์ที่มองโลกในแง่ดีจะไม่มีอารมณ์ ดังนั้น คำตอบที่แสดงออกถึงความมีอารมณ์จะไม่ใช่คำตอบที่ถูก เช่น ประโยคใดน่าจะได้รับความร่วมมือจากผู้ฟังมากที่สุด ก.มัวโอ้เอ้ เดี๋ยวก็ตกรถกันหมดหรอก ข.เร็วๆหน่อยสิทำอะไรช้าจัง ค.ใครๆเขารออยู่ รู้ไหม ง.ช้านัก เดี๋ยวปล่อยให้อยู่ที่นี่ซะเลย จ. เร็วเข้าเถอะ เดี๋ยวไม่ทันรถออก คำตอบที่ไม่มีอารมณ์คือข้อ จ.

มีคุณสมบัติของแพทย์อีกมากมาย ที่สามารถนำมาออกเป็นข้อสอบได้ ไม่ใช่เฉพาะตัวย่อจาก DOCTOR ซึ่งถ้าน้องๆมีคุณสมบัติตรงตามที่ กสพท.ต้องการ ก็จะได้คะแนน ข้อสอบวิชานี้ถูกจัดทำขึ้นตามหลักจิตวิทยาชั้นสูงโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้น อย่าคิดว่าจะหลอกข้อสอบได้ ในทางกลับกันต้องระวังถูกข้อสอบหลอกถาม แต่อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นโชคดีของนักเรียนรุ่นปัจจุบัน ที่มีวิชาเฉพาะแพทย์ เพราะทำให้นักเรียนที่เรียนเก่งไม่มาก สามารถสอบเข้าแพทย์ได้ง่ายขึ้น นั่นเพราะความเป็นคนดีสำคัญกว่าความเป็นคนเก่ง แพทย์ที่ดีแต่ไม่เก่ง จะสามารถพัฒนาตนเองจนกลายเป็นคนเก่งได้ในอนาคต แต่แพทย์ที่เป็นคนเก่งแต่ไม่ดี โอกาสที่จะพัฒนาจิตใจให้กลายเป็นคนดี จะยากกว่ามาก

สพฐ.วิจัยแท็บเล็ต 5รร."หนูทดลอง

พฐ.ทำโครงการวิจัยโรงเรียนประถมนำร่องใช้แท็บเล็ตก่อนแจก โดยให้ รร.สาธิต มศว และ รร.ในสังกัด สพฐ.อีก 4 โรง ทดลองใช้นำร่อง เริ่มทำวิจัยเทอม 2 นี้ก่อนสรุปผล


นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินนโยบายแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนเพื่อใช้เป็น เครื่องมือทางการศึกษา ตามนโยบาย One PC Tablets per child ของรัฐบาลว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ประสานมิตร ไปคัดเลือกห้องเรียนประถมในโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร ระดับประถม อย่างน้อย 2 ห้อง เพื่อตั้งเป็นห้องเรียนตัวอย่างทำการวิจัยเปรียบเทียบให้เห็นข้อดี-ข้อเสีย ระหว่างห้องเรียนที่เรียนผ่านแท็บเล็ต และห้องที่ไม่ได้เรียนผ่านแท็บเล็ต ทั้งนี้ จะมีการจัดทำวิจัยนำร่องในโรงเรียนทั้งหมด 5 โรง ได้แก่ โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร 1 โรง และโรงเรียนในสังกัดของ สพฐ. อีก 4 โรง ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงการคัดเลือกผ่านการกำหนดคุณสมบัติของโรงเรียนที่สอด คล้องกับการวิจัย อาทิ จะต้องมีห้องเรียนประถมเพื่อการวิจัยอย่างน้อย 2 ห้อง ทั้งช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) และช่วงชั้นที่ 2 (ป.4-ป.6) เป็นต้น


เลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า การวิจัยครั้งนี้จะเริ่มวิจัยในช่วงภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 และจะมีการสรุปผลหลังจบภาคเรียน อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ สพฐ.ไม่ทำการวิจัยในทุกช่วงชั้นนั้น เพราะผู้วิจัยกังวลว่าอาจจะเกินการควบคุม เพราะต้องส่งครูและทีมงานด้านคอมพิวเตอร์จากส่วนกลางลงไปมาก ดังนั้น จึงจำกัดแค่ 2 ช่วงชั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ในส่วนเครื่องแท็บเล็ตที่จะนำมาใช้ในการวิจัยนั้น จากการหารือร่วมกับกระทรวงกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ก็ได้ข้อสรุปแล้วว่า จะใช้วิธีการรับบริจาคแท็บเล็ตในการวิจัยแทนการจัดซื้อ ซึ่งก็ได้กำหนดสเปกขั้นต่ำไว้แล้ว โดยดูจากวัตถุประสงค์การใช้งานเป็นหลัก.

หมอเก่ง มศว ชนะการแข่งขัน เกมหมอยอดนักสืบ


นิสิตแพทย์ตะลันต์ เทพอารีย์ รัฐพร บำรุงผล และพิชามญฐ์ อินกอง นิสิตคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ชนะการแข่งขัน รายการ The symptom เกมหมอยอดนักสืบ สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ช่อง 9 อสมท. ได้รับเงินรางวัล 100,000 ซึ่งนิสิตแพทย์ทั้ง 3 คน ได้ขอมอบเงินรางวัลดังกล่าวให้แก่ มูลนิธิการแพทย์สยามบรมราชกุมารี โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี คณะแพทยศาสตร์ มศว ต่อไป เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2554

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิธีการเผ้าระวังอาการโรคข้อเข่าเสื่อม


ข้อเข่าเสื่อม อาการเสื่อมตามสภาพ หรือการสึกกร่อน ของกระดูกอ่อนผิวข้อที่ผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะเพศหญิง แต่ในปัจจุบันด้วยรูปแบบการใช้ชีวิต ที่หนักหน่วง เช่น การเล่นกีฬาผิดท่า การขึ้นลงบันได้บ่อยๆ หรือน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัจจัย เสี่ยงเพิ่มขึ้น หากมีอาการ ปวดข้อเข่า ข้อเข่าขัด รู้สึกเมื่อยตึงที่น่อง มีเสียงลั่นที่ข้อเวลาเดินหรือเคลื่อนไหว เดินไม่สะดวก หากปล่อยไว้นานจนถึงระยะรุนแรง อาจถึงขั้นเดินไม่ได้

ด้วยพัฒนาการทางการแพทย์ และเทคโนโลยีแบบแผลเล็กเจ็บน้อย Minimally Invasive Surgery ช่วยให้การรักษาการผ่าตัดข้อเข่าเทียมง่ายยิ่งขึ้น ช่วยให้เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็ว ความเสียหายต่อเนื้อเยื้อภายในน้อยลง อาการปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า ช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ปกติเร็วขึ้น พร้อมด้วยมาตรฐานการรักษาโรคเฉพาะทางระดับสากล โรคข้อเข่าเสื่อม แห่งแรกในประเทศไทย ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสหสาขาวิชา ที่ได้รับการรับรองจาก JCI สถาบันรับรองคุณภาพระดับสากลแห่งสหรัฐอเมริกา

Minimally Invasive Surgery
คือพัฒนาการทางการแพทย์ และเทคโนโลยีแบบแผลเล็กเจ็บน้อย ที่ช่วย ให้การรักษาการผ่าตัดข้อเข่าเทียมง่ายยิ่งขึ้น เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็ว อาการปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า ช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ปกติเร็วขึ้น พร้อมด้วย มาตรฐาน การรักษาโรคเฉพาะทางระดับสากล โรคข้อเข่าเสื่อมแห่งแรกในประเทศไทย ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสหสาขาวิชา ที่ได้รับการรับรองจาก JCI สถาบันรับรองคุณภาพระดับสากลแห่งสหรัฐอเมริกา

คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือไม่ ใช่ ไม่ใช่
1. เพศชาย หญิง อายุ 40 ปีขึ้นไป
2. มีน้ำหนักตัวมาก (ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 25)
3. มีกิจวัตรการทำงาน ที่ต้องเดินอยู่ตลอดเวลา
4. มีอาการเข่ายืด ฝืด หรืองอ ลำบาก
5. มีเสียงดังก๊อบ แกร๊บ ที่เข่าขณะเคลื่อนไหว
6. มีอาการปวดที่ข้อเข่า หรือขาเวลาเดิน หรือลงบันได
7. มีอาการปวด เจ็บแปล๊บ ที่ข้อเข่าเวลาเดิน
8. มีอาการปวดข้อเข่าเวลานอน
9. มีปัญหาปวดข้อเข่าเวลาใส่ถุงเท้า รองเท้า หรือขณะลุกนั่ง
10. มีอาการปวดปวมอักเสบที่ข้อเข่า
11. ไม่สามารถเดินได้ปกติ ต้องเดินโยกตัว
12. ขาโก่งงอผิดรูป

สัญญาณเตือนภัย!
หากคุณมีอาการเหล่านนี้มากกว่า 3 ข้อขึ้นไป คุณอาจมีความเสี่ยงต่อโรคข้อเข่าเสื่อม หากปล่อยไว้นานจนถึงระยะรุนแรง อาจเป็นหนักขั้นเดินไม่ได้ เพื่อชะลอความเสื่อมให้ช้าลง และได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ให้สามารถดำเนินคุณภาพชีวิตได้ตามปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ครั้งแรกในประเทศไทย
มาตรฐานการรักษาระดับสากล การดูแลรักษาโรคเฉพาะทางสำหรับผู้ป่วย โรคข้อเข่าเสื่อม (Disease or Condition Specific Care Certification Osteoarthritis of the Knee) ได้รับการรับรองจาก JCI สถาบันรับรองคุณภาพระดับสากลแห่งสหรัฐอเมริกา

นพ.บัญญัติ เกตุมาลาศิริ
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ

หลายพื้นที่ยังประสบภัยปัญหาน้ำท่วม บางที่อาจพบเจอปัญหา ทากดูดเลือด สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ได้แนะนำวิธีการแก้ปัญหา เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ห้ามดึงออก เพราะเลือดจะหยุดยาก จี้ตัวทากด้วยธูปติดไฟหรือไม้ขีดติดไฟ โรยเกลือป่นบนตัวทาก หรือใช้น้ำส้มสายชู เหล้าหรือน้ำมันราดตัวทาก ทากจะหลุดออกมา ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ แล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซหรือแผ่นปิดแผลสำเร็จรูป

สาวผมมัน ต้องสระผมทุกวันหรือเปล่า..?


สาวๆ หลายคนคงจะประสบกับปัญหาเส้นผมมัน จนทำให้สูญเสียความมั่นใจ ไปได้เหมือนกัน ซึ่งสาวๆ บางคนก็เลี่ยงโดยการเกล้าผมบ้าง รัดผมบ้าง เพื่อปกปิดสภาพเส้นผมที่มันเยิ้ม ลีบแบน จัดทรงยาก เหนียวเหนอะหนะ และอาจจะมีอาการของผมร่วงร่วมด้วยค่ะ จนบางทีก็อดหงุดหงิดใจใม่ได้ ในวันที่อยากจะปล่อยผมยาวสลวยในอารมณ์สบายๆ บ้าง แถมการมีสภาพเส้นผมมันนั้นทำให้เจ้าพวกสิ่งสกปรกจำพวกฝุ่นละอองต่างๆ มาเกาะที่หนังศีรษะได้มากกว่าคนอื่นๆ แต่จริงๆ แล้วก็มีข้อดีอยู่บ้างค่ะ

เพราะสาวผมมันนั้นมักจะไม่ค่อยเจอกับปัญหาเส้นผมแตกปลายสักเท่าไหร่...เอาเป็นว่าเรามารู้จัก และหาวิธีดูแลเส้นผมมันกับวิธีตามแบบฉบับสบายอารมณ์ ให้เป็นสาวผมสลวยกันดีกว่าค่ะ
สาวๆ ทราบไหมคะว่า สภาพผมมันนั้นเกิดจากการที่ต่อมไขมันที่บริเวณหนังศีรษะ ซึ่งอยู่บริเวณรากผม ผลิตไขมันออกมามากเกินไป แต่จริงๆ แล้วไขมันนี้มีประโยชน์ต่อเส้นผมมากเลยนะคะ เพราะทำให้เส้นผมแข็งแรง ไม่แห้งแตกปลาย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมมันนั้นมักจะเกิดมาจากหลากหลายสาเหตุ ซึ่งสาวๆ ก็ต้องสังเกตุตัวเองให้ดีๆ ค่ะว่ามีสาเหตุเกิดมาจากอะไร เช่น ฮอร์โมนไม่ปกติ พันธุกรรม รับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ อยู่ในบริเวณร้อนชื้นอยู่เป็นประจำ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม

ในภาวะที่มีอาการผมร่วงร่วมด้วนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วนั้นการที่มีสภาพเส้นผมมันตามธรรมชาติจะไม่สามารถทำให้เกิดผมร่วงมากสักเท่าไหร่ แต่การที่สีการสะสมไขมันบริเวณหนังศีรษะมากๆ นั้นจะสามารถไปอุกตันบริเวณรอบๆ รากผมทำให้การไหลเวียนของเลือด การนำพาสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงรากผมได้ไม่ดี และอาจจะทำให้เชื้อโรคบริเวณหนังศีรษะมีมากขึ้น ทำให้การทำงานของรากขนผิดปกติไป เกิดอาการผมร่วง และผมขึ้นใหม่ได้น้อยลง ทำให้ผมบางลงเรื่อยๆ เกิดศีรษะล้านตามมาได้ในที่สุด

ผมมันอยู่ใช่ไหม มาฟังทางนี้ดีกว่า

1. สระผมทุกวัน ด้วยแชมพูที่มีค่า PH เป็นกรดอ่อนๆ (PH ประมาณ 5.5 - 6.5) จะช่วยลดหนังศีรษะมันได้ดี หรือใช้แชมพูสูตรสำหรับผู้ที่มีผมมันโดยเฉพาะ แชมพูสำหรับผมมันจะมีสารฟอกค่อนข้างแรง และในขณะสระผมควรทิ้งแชมพูไว้ประมาณ 5 นาที หลีกเลี่ยงการถูขยี้หนังศีรษะ แล้วจึงล้างออก ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมนวดผม เนื่องจากมีไขมันที่ผลิตขึ้นมาบนหนังศีรษะแล้วแต่ถ้าหากมีผมแตกปลาย ควรใช้ครีมนวดผมที่ปลายเท่านั้น

2. ล้างผมด้วยน้ำเย็น สาวๆ ที่มีปัญหาเส้นผมมันมากๆ ควรจะใช้น้ำเย็น หรือน้ำธรรมดาสระผม เนื่องจากน้ำเย็นจะช่วยปิดเกร็ดผม และรักษาความชุ่มชื้น ทำให้ผมนุ่ม และช่วยปิดรูขุมขนบริเวณหนังศีรษะอีกด้วย

3. หลีกเลี่ยงการจัดแต่งทรงผม เพราะการใช้น้ำมันใส่ผม ครีมแต่งผม หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ต่างๆ โดยเฉพาะที่ทำจากกรีเซอรีนหรือซีรีโคน (glycerin and silicone) จะทำให้ผมมันมากขึ้นไปอีก

4. ลดผมมันด้วยสูตรธรรมชาติ โดยผสมน้ำส้มสายชู 1 ส่วนในน้ำ 4 ส่วน ใช้ล้างผมครั้งสุดท้าย หรืออาจใช้น้ำมะนาวผสมน้ำ แทนน้ำส้มสายชูในการล้างผม จะช่วยให้ลดความมันของเส้นผมได้ดี และปลอดภัยต่อหนังศีรษะอีกด้วย

5. ลดอาหารที่มีไขมันมากๆ กินอาหารพวกวิตามินบี เกลือแร่ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ นมถั่วเหลือง พืชตระกูลถั่ว ควรหาเวลาพักผ่อน ทำใจให้สบาย เนื่องจากความเครียดจะส่งผลต่อระบบการที่โลหิตหมุนเวียนไปเลี้ยงหนังศีรษะ

6. ไม่ควรหวีผมบ่อยเกินไป เนื่องจากการหวีผมบ่อยมากเกินไปจะกระตุ้นให้หนังศีรษะผลิตน้ำมันออกมามาก ควรใช้มือในการสางผมก็พอ

7. ทางเลือกใหม่ ใช้แชมพูจากธรรมชาติดีที่สุด ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่มีสารประกอบจากธรรมชาติ เช่น ส้ม มะกรูด มะนาว มะม่วง อาจจะมีการผสมน้ำยาฆ่าเชื้อ (Antiseptic) ลงไปในแชมพู เพื่อลดการเจริญของแบคทีเรียที่มีอยู่บริเวณรากผม อาจจะมีส่วนผสมของ Zinc PCA (สังกะสี พีซีเอ) ซึ่งจะควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน และลดการผลิตน้ำมันลง

เพียงเท่านี้ก็บอกลาผมมัน มาเป็นสาวผมสลวย สวยได้ทุกวัน มั่นได้ทุกทรงกันแล้วล่ะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันดื่มนมโลก World Milk Day


วันดื่มนมโลก (World Milk Day) ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี

องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ หรือ The Food and Agriculture Organization หรือ FAO กำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี เป็น 'วันดื่มนมโลก' (World Milk Day) เพื่อให้ประเทศต่างๆ และองค์กรที่ให้ความสำคัญและสนับสนุนการบริโภคนม ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์และกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการบริโภคนม ด้วยการให้ความรู้และคุณประโยชน์ของนมให้แก่ประชาชน โดย ปัจจุบันมีมากกว่า 35 ประเทศทั่วโลก ที่ได้มีการจัดกิจกรรมวันดื่มนมโลก

'นม' เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแท้จริง มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ (International Osteoporosis Foundation หรือ IOF) ระบุว่านมและผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆ เป็นอาหารพร้อมบริโภคที่หาได้ง่าย จัดอยู่ในกลุ่มอาหารที่มีแร่ธาตุแคลเซียมสูงที่สุด ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง โดยเป็นแคลเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีที่สุดและยังเป็นแหล่งรวม สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะให้ทั้งโปรตีนและเกลือแร่ที่สำคัญ เช่น ฟอสฟอรัส คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และวิตามิน นมช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง การสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกตั้งแต่อายุยังน้อยๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกแตกหักได้ง่ายเมื่ออายุมากขึ้น

ธาตุอาหารใน 'นม' ทั้งโปรแตสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ล้วนมีส่วนช่วยไม่ให้ความดันโลหิตสูงเกินกว่าปกติ เพื่อสุขภาพฟันที่ดี โดยปกติเนื้อฟันมีสารเคลือบที่ถือเป็นส่วนที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียม ฟันจึงต้องการแคลเซียมเพื่อช่วยเสริมสร้างให้ฟันแข็งแรงมีสุขภาพดี นมอุดมด้วยแคลเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อฟัน มีโปรตีนที่ช่วยให้ฟันเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และช่วยเคลือบผิวฟันอีกด้วย ช่วยคุมน้ำหนัก หลายๆ คนหลีกเลี่ยงไม่ดื่มนมเพราะเชื่อว่านมทำให้อ้วน แต่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นนมสด นมพร่องไขมัน หรือนมไม่มีไขมัน มีปริมาณไขมันแค่เพียง 3.9%, 1.7%, และ 0.3% เท่านั้น

นอกจากนี้ 'นม' ยังเป็นเครื่องดื่มที่มอบความสดชื่นไม่แตกต่างจากน้ำดื่ม การดื่มนมเพียงหนึ่งหรือสองแก้วจะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นและยังทำให้ได้รับ คุณค่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการอีกด้วย นม 1 กล่อง เท่ากับทุกคุณค่าของสารอาหารที่ร่างกายต้องการ แคลเซียม สร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟันวิตามินบี 12 ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงคาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานกับร่างกายแมกนีเซียม สร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อฟอสฟอรัส สร้างพลังงานให้กับเซลล์ในร่างกาย และทำให้กระดูกแข็งแรงโปรแตสเซียม ช่วยรักษาระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ โปรตีนสร้างเสริมการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 2 ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพดี ช่วยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

ภาพจาก http://www.worldmilkday.com/
ข้อมูลจาก http://news.showded.com/221289_1-%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-world-milk-day

โดนัท เดย์ National Donut Day


วันโดนัทแห่งชาติ หรือ National Doughnut Day ตรงกับวันศุกร์แรก ของเดือนมิถุนายน ของทุกปี เป็นวันสำคัญของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในวันนี้จะมีการแจกโดนัทฟรี ตามร้านต่างๆ ให้ได้ไปรับประทานกัน

วันโดนัทแห่งชาติ มีที่มาจากหน่วยบรรเทาทุกทหารในชิคาโก้ เมื่อปี 1938 เพื่อเป็นเกียรติแก่หญิงสาวที่ไปเสิร์ฟโดนัทให้ทหารในระหว่าง สงครามโลก ครั้งที่ 1

ซึ่งต่อมา ร้านโดนัทนับพันร้านค้าในสหรัฐอเมริกา ก็ได้เสนอให้มีการแจกโดนัทฟรีในวันนี้ เมื่อปี 2009 ไม่ว่าจะเป็นร้านโดนัทอิสระ หรือว่าร้านแบบเฟรนไชส์

ที่มา http://news.voicetv.co.th/global/11508.html

ความเป็นมาวันฮาโลวีน


ความเป็นมาวันฮาโลวีน
วันฮาโลวีน เรามักจะคุ้นเคยเรียกกันเป็นภาษาปากว่า วันปล่อยผี ในวันดังกล่าวมักมีการจัดตกแต่งบ้านเรือน ร้านค้า โดยใช้ฟักทองที่คว้านเป็นรูปผี หรือใช้วัสดุอื่น ๆ ประดิษฐ์เป็นตัวผีหรือทำให้มีหน้าตาเป็นผีเพื่อสร้างบรรยากาศให้กลายเป็นงานรื่นเริง วันฮาโลวันมีที่มาอย่างไร และเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้นในเรื่องนี้ คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล แห่งราชบัณฑิตยสถาน ได้จัดทำคำอธิบายถึงประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจของ “ฮาโลวีน” ไว้ดังนี้


ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Evs ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย โดยวิธีตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween คำ Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน แปลว่า ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำ Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่า ๆ เช่น Hallowed be thy Name (ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ)

คำ Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ คำ All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่า วันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Chrismas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาส ชาวคาทอลิกพร้อมใจกันเลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไปหลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย และเรียกว่า วันวิญญาณในแดนชำระ (All Souls Day) เพื่อให้คู่กับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints Day)

การสมโภชนักบุญทั้งหลายเริ่มโดยสันตะปาปาโบนีเฟสที่ 4 (Boniface IV ครองอำนาจ ค.ศ. ๖๐๘–๖๑๕) โดยกำหนดวันที่ ๑๓ พฤษภาคมของทุกปี ตั้งแต่ ค.ศ. ๖๑๓ เป็นต้นมา สาเหตุเนื่องจากเป็นวันเปิดโบสถ์แพนทีอัน (Pantheon) อันเป็นโบสถ์สรรพเทพของชาวโรมันมาแต่เดิม และจักรพรรดิโฟกัส (Phocas) ยกให้เป็นของคริสต์ศาสนา ต่อมา สันตะปาปากรีโกรีที่ ๔ (Gregory IV ครองอำนาจ ค.ศ. ๘๒๗–๘๔๔) เปลี่ยนเป็นวันที่ ๑ พฤศจิกายน ตั้งแต่ ค.ศ. ๘๓๕ เป็นต้นมา

ชาวคาทอลิกขณะนั้นถือว่าวันฮาโลวีนมีความสำคัญคู่เคียงกันกับวันคริสต์มาสและวันอีสเตอร์จึงเริ่มงานตั้งแต่วันก่อนหรือวันสุกดิบ ขณะนั้นเกาะอังกฤษยังรับอำนาจของสันตะปาปาอยู่ ชาวอังกฤษจึงรับนโยบายของสันตะปาปาไปปฏิบัติตาม



ด้วยเหตุที่ชาวเผ่าเคลต์ของเกาะอังกฤษ (ไอร์แลนด์และสกอตแลนด์) ถือเอาวันที่ ๑ พฤศจิกายน เป็นวันต้นฤดูหนาวและเป็นวันขึ้นปีใหม่ (Samhoin) มาเป็นเวลานานแล้ว โดยจัดพิธีเป็น ๒ วัน คือวันสุกดิบ (๓๑ ตุลาคม) เป็นวันทำบุญเลี้ยงผี ซึ่งเชื่อกันว่าทั้งคืนจะมีผีออกเพ่นพ่านรับส่วนบุญ เมื่อจัดทำพิธียกอาหารทำบุญแล้วก็ปิดประตูหน้าต่างอยู่แต่ในบ้านอธิษฐานขอให้ผีไปที่ชอบ ๆ วันรุ่งขึ้น (๑ พฤศจิกายน) เป็นวันปีใหม่ ได้ทำพิธีบูชาเทพเจ้าตามด้วยการรื่นเริงตามประเพณี เมื่อชนพวกนี้ยอมรับนับถือศาสนาคริสต์แล้วก็ยังคงปฏิบัติประเพณีนี้ต่อมา ครั้นได้รับนโยบายจากสันตะปาปาแล้ว ผู้นำศาสนาก็หาวิธีแทรกพิธีกรรมของศาสนาคริสต์เข้ากับประเพณีเดิม วันสุกดิบจึงกลายเป็นวันทำบุญให้วิญญาณของผู้ล่วงลับที่อาจจะยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์ คือวิญญาณที่ยังใช้โทษใช้บาปกรรมของตนยังไม่หมดสิ้น ยังอยู่ในแดนชำระ (purgatory) จึงทำพิธีสวดอ้อนวอนขอพระเป็นเจ้าเมตตาให้ได้ขึ้นสวรรค์เร็วขึ้น

วิญญาณเหล่านี้จึงไม่น่ากลัวเหมือนผีที่เร่ร่อนขอส่วนบุญ เมื่อชาวบ้านหันมานับถือศาสนาคริสต์แล้วก็ไม่เชื่อเรื่องผีมาขอส่วนบุญอีก แต่ก็ยังถ่ายทอดประเพณีนี้ต่อไป โดยปรับให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ คือคืนวันสุกดิบถือเป็นคืนเล่นผี มีผู้แต่งตัวสมมุติเป็นผีออกเพ่นพ่านขอส่วนบุญ ใครที่ไม่ชอบแต่งตัวเป็นผีก็ยินดีจัดเลี้ยงต้อนรับผีในครอบครัวของตน โดยคว้านฟักทองหรือใช้วัสดุอื่นทำให้มีหน้าตาเป็นผี สร้างบรรยากาศให้มีผีในบ้านต้อนรับผีนอกบ้าน กลายเป็นงานสนุกสนานรื่นเริงที่มีบรรยากาศแปลก วันรุ่งขึ้นจึงเป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย และต่ออีกวันหนึ่งจึงเป็นวันทำบุญให้วิญญาณในแดนชำระ

เมื่อชาวไอริชและชาวสกอตอพยพไปตั้งหลักแหล่งในสหรัฐอเมริกาก็นำเอาประเพณีนี้ไปปฏิบัติ ปรากฏว่าถูกใจชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติ จึงปฏิบัติตามกันอย่างจริงจังตลอดมา และตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมาก็กลายเป็นเทศกาลประจำชาติมาจนทุกวันนี้

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เงาะโรงเรียน ทำไมไม่เป็นเงาะอาชีวะหรือเงาะมหาวิทยาลัย


ก็เพราะเงาะพันธ์นี้ไม่ได้ปลูกในวิทยาลัยอาชีวะหรือในมหาวิทยาลัยนะสิ

เงาะโรงเรียนหรือเงาะพันธุ์โรงเรียน เป็นเงาะพันธุ์ที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน เงาะในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ตลอดทั้งเกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก ก็ไม่มีประเทศใดที่มีเงาะคุณภาพดีเท่ากับเงาะพันธุ์โรงเรียน แม้แต่ในมาเลเซียซึ่งเราได้เมล็ดเงาะพันธุ์นี้มา จึงกล่าวได้ว่าเงาะพันธุ์โรงเรียนเป็นเงาะพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้

คำว่า "โรงเรียน" หมายถึง โรงเรียนนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานีเงาะต้นแม่พันธุ์มีเพียงต้นเดียว ปลูกด้วยเมล็ดเมื่อปี พ.ศ.2469 โดยชาวจีนผู้หนึ่งมีสัญชาติมาเลเซีย ชื่อ Mr. K. Wong มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เมืองปีนัง บุคคลผู้นี้ได้เข้ามาทำเหมืองแร่ดีบุกที่หมู่บ้านเหมืองแกะ ตำบลนาสาร อำเภอบ้านนาสาร ตรงกันข้ามกับโรงเรียนนาสาร เมื่อ Mr. K. Wong มาทำเหมืองแร่ก็ซื้อที่ดินริมทางรถไฟด้านทิศตะวันตก ใกล้กับสถานีรถไฟนาสารเป็นเนื้อที่ 18 ไร่ แล้วสร้างบ้านพักบนที่ดินดังกล่าว เมื่อสร้างบ้านเสร็จ Mr. K. Wong ก็นำพันธุ์(เมล็ด)เงาะมาจากเมืองปีนัง(ขณะนี้เงาะพันธุ์นี้ที่เมืองปีนึงไม่มีแล้ว) มาปลูกข้างบ้านพักจำนวน 4 ต้น ต่อมาปรากฏว่าเงาะมีลูกเป็นสีเหลืองบ้าง แดงบ้าง รสเปรี้ยวบ้าง หวานบ้าง เฉพาะต้นที่ 2 นับจากทิศตะวันออกมีลักษณะพิเศษกว่าต้นอื่น คือ เนื้อสุกแล้วเปลือกผลเป็นสีแดง แต่แม้สุกจัดเท่าไหร่ก็ตาม ขนที่ผลยังมีสีเขียวอยู่ รูปผลค่อนข้างกลม เนื้อกรอบ หวาน หอม เปลือกบาง เงาะต้นนี้คือ "เงาะพันธุ์โรงเรียน"

สาเหตุที่เรียกว่าเงาะพันธุ์โรงเรียน เพราะในปี พ.ศ.2479 Mr. K. Wong ต้องเลิกล้มกิจการเหมืองแร่และเดินทางกลับไปอยู่ที่เมืองปีนังภูมิลำเนาเดิม จึงขายที่ดินดังกล่าวพร้อมด้วยบ้านพักให้แก่กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ) แผนกธรรมการ อำเภอบ้านนา (อำเภอบ้านนาสาร) ทางราชการจึงปรับปรุงบ้านพักใช้เป็นอาคารเรียน และย้ายโรงเรียนนาสารซึ่งขณะนั้นตั้งอยู่ที่วัดนาสารมาอยู่อาคารดังกล่าว เมื่อวันที่ 17 พฤศจิการยน พ.ศ.2479 แต่เงาะพันธุ์โรงเรียนในขณะนั้นยังมิได้แพร่หลายแต่ประการใด เนื่องจากการส่งเสริมทางการเกษตรยังไม่ดีพอ ในปี พ.ศ.2489-2498 มีบุคคลตอนกิ่งไปขายพันธุ์เพียง 3-4 รายเท่านั้น

ครั้นถึงปี พ.ศ.2500-2501 ได้มีกรรมวิธีแพร่พันธุ์เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คือการทาบกิ่ง มีการทาบกิ่งเงาะต้นนี้ไปเป็นจำนวนมาก ในระยะเดียวกันนั้น เงาะที่มาจากจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส คือเงาะพันธุ์ยาวี เจ๊ะโมง เปเราะ ก็เข้ามาแพร่หลายพอสมควร ประชาชนเห็นว่าเงาะต้นนี้ยังไม่มีชื่อ จึงชักชวนกันเรียกเงาะต้นนี้ว่า "เงาะพันธุ์โรงเรียน" เพราะต้นแม่พันธุ์อยู่ที่โรงเรียนนาสาร

ปี พ.ศ.2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯมาที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้นำชาวสวนเงาะผู้หนึ่งได้ทูลเกล้าฯถวายเงาะพันธุ์โรงเรียน และขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อพันธุ์เงาะนี้เสียใหม่ พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า "ชื่อเงาะพันธุ์โรงเรียนดีอยู่แล้ว" นับแต่นั้นมา ไม่มีใครกล้าที่จะเปลี่ยนชื่อเงาะพันธุ์นี้อีกต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : 108 ซองคำถาม

ติ่งหูมีไว้ทำอะไร


คำถามนี้บางคนอาจตอบได้ทันทีว่า ติ่งหูก็มีไว้ใส่ตุ้มหูน่ะซี

แต่นักวิชาการด้านสรีรวิยาและพัฒนาการของมนุษย์สันนิษฐานว่า บรรพบุรุษของเราเมื่อครั้งยังเดินสี่ขา มีติ่งหูที่ใหญ่กว่านี้เพื่อปกป้องอันตรายที่อาจเกิดแก่รูหูได้ แต่ดูเหมือนว่าติ่งหูจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดี จึงถูกลดขนาดให้เล็กลงอย่างในปัจจุบัน

ส่วนนักมนุษวิทยาอธิบายไว้ว่า ติ่งหูเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้ามบรรดานักวิชาการและนักทฤษฏีทั้งหลายต่างก็ต้องเผชิญปัญหาเรื่องการหาเหตุผล มาอธิบายว่า ทำไมอวัยวะหลาย ๆ ส่วนในร่างกายมนุษย์ที่ดูจะไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไหร่ จึงไม่หดหายไปจากร่างกายมนุษย์เสียเลย แต่ยังคงติดอยู่กับตัวมนุษย์ครบถ้วน

คล้ายกับว่าธรรมชาติพยายามเก็บรักษารายละเอียดทางพันธุกรรมเอาไว้ให้ครบถ้วนแม้ว่าสิ่งนั้นจะขัดแย้งกับการคัดเลือกตามธรรมชาติก็ตาม ร่างกายมนุษย์จึงเป็นเสมือนพิพิธภัณท์ที่เก็บสะสมมรดกแห่งวิวัฒนาการของ มนุษย์นั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: 108 ซองคำถาม

รู้จักส้ม


รู้จักส้ม
พืชจำพวกส้มและมะนาวอยู่ในสุกล Citrus วงศ์ Rutaceae พืชสกุลนี้จะมีผลชนิดพิเศษที่ไม่เหมือนใครในโลก ผลชนิดนี้มีชื่อทางการว่า Hesperidium กล่าวคือเปลือกนอกคล้ายหนังข้างในมีเนื้อรับประทานได้ซึ่งแบ่งออกเป็นออกเป็นห้องเล็ก ๆ หรือกลีบ ตั้งแต่แปดกลีบขึ้นไปในกลีบมีถุงเล็ก ๆ รวมเป็นก้อน แต่ละถุงบรรจุเมล็ด และน้ำผลไม้ที่มีคุณค่ายอดยิ่ง แต่ทุกวันนี้มีส้มและมะนาวสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีเมล็ดเกิดขึ้นแล้ว
พืชตระกูลส้มที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดีได้แก่ ส้ม orange (C. sinensis) เกรพฟรุด (C. paradisi), ส้มเขียวหวาน (Mandarin orange or Tangerine) (C" reticulata), มะนาวฝรั่ง และมะนาวไทย lemon (C.limon) and lime (C. aurantifolia and C. latifolia) ส้มเช้ง ส้มโอ shaddock, or pummelo, (C. maxima)
ส้มปลูกขึ้นในเขตร้อนและอบอุ่นเท่านั้น และปริมาณความต้องการบริโภคส้มและมะนาวของโลกพุ่งสูงอย่างน่าตกใจหลังปี ค.ศ. 1890 เมื่อแพทย์ค้นพบการรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือ scurvy โดยการดื่มน้ำส้มหรือมะนาวเพียงวันละแก้ว



ส้มกับโรค Scurvy
Scurvy หรือที่เรียกเป็นไทยว่าโรคลักปิดลักเปิด เป็นโรคจาการขาดสารอาหารอันดับแรกที่มนุษย์รู้จัก เกิดจากการขาดวิตามินซีซึ่งมีในผักผลไม้สดโดยเฉพาะอย่างยิ่งส้มและมะนาว
วิตามินซีเป็นสารอาหารที่จำเป็นมากสำหรับมนุษย์ ขณะที่สัตว์ส่วนใหญ่และพืชสามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้จากน้ำตาลกลูโคส วิตามินซีช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อการได้รับวิตามินซีปริมาณเพียงพอจึงช่วยให้แผลหายได้เร็ว และในทางกลับกัน การขาดวิตามินซีทำให้แผลหายช้า แพทย์หลายท่านจึงนิยมจ่ายวิตามินซีชนิดเม็ดพร้อมยารักษาแผล แต่ผมอยากแนะนำให้รับประทานน้ำส้ม ซึ่งจะได้วิตามินซีและสาร สำคัญอื่น ๆ พร้อมด้วย
อาการของโรค Scurvy คือเหงือกบวม มีเลือดออกตามไรฟันถ้าเป็นมาก ฟันถึงกับหลุดร่วงได้มีจ้ำเลือดเห็นเป็นสีเขียวใต้ผิวหนัง ปวดข้อ แขนขาเคลื่อนไหวลำบาก แผลหายช้า เลือดจาง เป็นต้น
บันทึกที่เป็นหลักฐานว่ามนุษย์รู้จักโรค Scurvy คือช่วงสงครามครูเสด และในช่วยปลายศตวรรษที่ 15 scurvy กลายเป็นสาเหตุการตายและทุพลภาพที่ สำคัญในชาวเรือ
จนถึงปี ค.ศ. 1753 เริ่มค้นพบว่า สาเหตุของโรคน่าจะมาจากการกินอาหารไม่ถูกต้อง โดยศัลยแพทย์เจมส์ลินด์ ได้แสดงให้เห็นว่า Scurvy อาจหายได้ด้วยการกินน้ำส้ม หรือมะนาว นับแต่นั้นมา โรค Scurvy ก็ค่อยลดความรุนแรงลง ขณะที่ส้มและมะนาวกลายเป็นที่ต้องการของคนทั้งโลก ทุกวันนี้เราพบโรคขาดวิตามินซีได้ในคนแก่ที่ได้รับอาหารไม่ถูกต้อง หรือเลือกรับประทานอาหาร และในเด็กทารกที่ไม่ได้ทานนมมารดาและไม่มีการเสริมด้วยน้ำส้มสด
แม้ผู้ที่มีอาการ Scurvy ขั้นรุนแรง หากได้ทานวิตามินซี 100 มก. หรือเท่ากับส้มสด 2-3 ผล ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์อาการจะทุเลารวดเร็ว


วิตามินซี-สารจำเป็นของมนุษย์
ส้มและมะนาว เป็นแหล่งให้วิตามินซีที่ดีมากสำหรับมนุษย์เพราะส้มหนึ่งผลทั่ว ๆ ไปจะให้วิตามินซีถึงประมาณ 70 มก. ซึ่งมากเกินพอสำหรับความต้องการใน 1 วัน แต่เนื่องจากการที่มันไม่ถูกสะสมไว้ในร่างกายเราจึงต้องได้รับวิตามินซีทุกวัน
ผลไม้ไทย ๆ ที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีวิตามินซีสูงสุดที่ผมจำได้ คือ ฝรั่ง ฝรั่ง 1 ลูกให้วิตามินซีสูงถึง 120 มก.


ส้มกับโรคหัวใจ
ดังได้กล่าวแล้วว่าส้มและมะนาวให้วิตามินซีในปริมาณสูง บัดนี้มีรายงานผลการค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างวิตามินซีกับโรคหัวใจที่น่าติดตามคือ รายงานเรื่อง Vitamin C may protect against heart at tack, stroke. โดย Stenson J. ใน Medical Tribune 1995 Jul 13;36(13):21 ว่าผลการศึกษาสองชิ้นจากอังกฤษสนับสนุนความเชื่อที่ว่า อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น น้ำส้มจะช่วยป้องหันโรคหัวใจได้ งานวิจัยที่หนึ่ง นักวิจัยพบว่าการได้รับวิตามินซี 60 มก. ต่อวัน (เท่ากับส้มหนึ่งผล) มีความสัมพันธ์กับการลดความเข้มข้นของไฟบริโนเจนในปริมาณที่ทำให้อัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจชนิด ischmic heart disease ลดลงราวร้อยละ 10 การศึกษาชิ้นที่สอง พบว่า
คนสูงอายุที่มีระดับวิตามินซีในกระแสเลือดต่ำมีโอกาสเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะได้บ่อยกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนสูงอายุที่ต้องอยู่ตามลำพัง จัดหาอาหารเองซึ่งเสี่ยงต่อการได้รับโภชนาการที่ไม่ถูกต้อง ในอังกฤษจำนวนผู้เสียชีวิตจะสูงขึ้นถึงร้อยละ 30 ในฤดูหนาวเมื่อเทียบกับฤดูอื่น ๆ โรคสำคัญของฤดูหนาว คือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ และโรคระบบทางเดินหายใจ พวกเขาแนะนำให้ผู้สูงอายุรับประทานผักและผลไม้สดมาก ๆ เพื่อลดอัตราเสี่ยงจากโรคหัวใจและยังให้ข้อสังเกตว่า
การป้องกันโรคหัวใจอาจไม่ได้เป็นผลจากวิตามินซีตัวเดียวโดด ๆ แต่อาจมีสาร สำคัญอื่น ๆ ในผลไม้ที่ให้ผลทีว่า ดังนั้นการรับประทานผักและผลไม้สดย่อมดีกว่าวิตามินซีชนิดเม็ด
นอกจากนี้งานวิจัย Vitamin C and risk of death from stroke and coronary heart disease in cohort of elderly people ของ Gale CR, Martyn CN, Winter PD, Cooper ใน BMJ 1995 Jun 17;310(6994):1563-6 ซึ่งศึกษาประวัติย้อนหลังไปถึง 20 ปีในผู้สูงอายุ 720 คนทั้งหญิงและชายได้ตอกย้ำความคิดที่ว่า พืชผักที่อุดมด้วยวิตามินซีสามารถลดอัตราเกิดโรคหัวใจในผู้สูงอายุได้เช่นกัน โดยพวกเขาพบว่า อัตราตายจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ จะสูงสุดในกลุ่มที่มีระดับวิตามินซีในกระแสเลือดต่ำสุด


ประโยชน์ของไลมอนอยด์ (limonoids) เป็นสารประกอบทางชีววิทยาที่พบเป็นปริมาณมาก ในผลไม้ตระกูลส้ม และมีฤทธิ์นานาประการ รวมทั้งมีผลเป็นสารต่อต้านมะเร็งด้วย ในการทดลองกับเซลล์มะเร็งของมนุษย์ และเซลล์เนื้องอกในสัตว์ทดลองพบว่า สารดังกล่าวนี้มีประสิทธิภาพในการสู้รบ กับมะเร็งในช่องปาก คอ ปอด กระเพาะอาหาร ลําไส้ ผิวหนัง ตับ และเต้านม ไลมอนอยด์

โดยพบอยู่เฉพาะในพืชสองตระกูล เท่านั้น คือ พืชตระกูลส้ม และตระกูลมะฮอกกานี ในธรรมชาติ สารดังกล่าวทําหน้าที่ป้องกันพืชจากบรรดาศัตรูที่มุ่งร้าย ตัวอย่างง่ายๆ ที่ชาวไร่ชาวสวน ใช้ประโยชน์กันอยู่แล้ว ก็คือสารประเภทไลมอนอยด์ซึ่ง สกัดจากพืชในกลุ่มสะเดา (Neem) ซึ่งก็เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลมะฮอกกานี


ประโยชน์ของน้ำมันผิวส้ม
-ผิวพรรณ ช่วยในการสร้างคอลลาเจนและเนื่อเยื่อรักษาแผลต่างๆ ลดริ้วรอยความเหี่ยวย่น
-ระบบหมุนเวียนและกล้ามเนื้อ ปรับสมดุลการเต้นของหัวใจ
-กล้ามเนื้อและข้อต่อ ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ
-ระบบทางเดินหายใจแก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ
-ระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการดูดซึมวิตามินซี ทำให้มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสได้ดี แก้ไข้
-ระบบทางเดินอาหาร แก้อาการเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะที่เกิดจากความเครียดแก้ท้องเสีย แก้ท้องผูก กระตุ้นน้ำดีทำให้ย่อยไขมันได้ดี ทำให้เจริญอาหาร
-ระบบสืบพันธุ์ แก้ปวดประจำเดือน
-ระบบปัสสาวะ ขับเหงื่อ ทำให้ขับสารพิษได้ดี
-ระบบประสาทและจิตใจ ช่วยให้คลายเครียด หายซึมเศร้า หดหู่ แจ่มใสขึ้น ช่วยให้รู้สึกหายเหนื่อย นอนหลับ ฟื้นฟูพลังงานและสุขภาพ

ที่มา : วารสาร หมออนามัย คอลัมน์ ตู้ยาสอ. หน้า 57 ฉบับที่ 2 ปีที่ 9 เดือน กันยายน-ตุลาคม พ.ศ. 2542

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับการทำข้อสอบวิชาเฉพาะแพท


ทันตแพทย์สม สุจีรา www.Tutorsom.com

บทความก่อนหน้านี้ วิเคราะห์คะแนนวิชาเฉพาะแพทย์ http://www.unigang.com/Article/8411

แนวข้อสอบวิชาเฉพาะแพทย์ http://www.unigang.com/Article/8083

เรียนแพทย์ดีอย่างไรตอนที่ 2 http://unigang.com/Article/7807

เรียนแพทย์ดีอย่างไรตอนที่ 1 http://www.unigang.com/Article/7771

มีข่าวออกมาว่า ข้อสอบวิชาเฉพาะแพทย์ในปีนี้จะมีการเปลี่ยนแนวไปจากเดิม ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า ข้อสอบจะเป็นอย่างไร เพราะถูกเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด

จากสถิติปีก่อนๆ คะแนนสอบเข้าแพทย์เฉือนกันที่ทศนิยม หลายๆคนแพ้เพียงนิดเดียว ก็สอบไม่ติดแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะหมายถึงวิถีชีวิตทั้งชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล คะแนนของวิชาเฉพาะแพทย์จึงสำคัญ เพราะมีค่าน้ำหนักถึง 30ใน 100คะแนนของการสอบเข้า ดังนั้นไม่ว่าออกสอบจะออกอย่างไร น้องควรมีเทคนิคการทำข้อสอบวิชานี้ไว้ให้อุ่นใจ

คำว่า DOCTOR สื่อให้เห็นคุณสมบัติของแพทย์ 6ประการตามตัวอักษรคือ D=Decision การตัดสินใจ O=Optimism มองโลกในแง่ดี C=Care ดูแล เสียสละ T=Teacher สอนเป็น O=Observation ช่างสังเกต R=Responsibility มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าข้อสอบจะเป็นแบบใด จะต้องมีการทดสอบคุณสมบัติเหล่านี้ของนักเรียน

คำตอบในวิชาเฉพาะแพทย์ ไม่เฉพาะเจาะจงเหมือนคำตอบในวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ หรือ เคมี แต่จะมีเพียงตัวเลือกเดียวที่คะแนนสูงที่สุด น้องต้องเลือกตัวเลือกนั้น โดยวิเคราะห์ตามคุณสมบัติ 6ประการ เช่น คำถามที่ว่า “ท่านคิดอย่างไรกับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค” ก.เป็นผลงานรัฐบาลเก่า ไม่ควรสนับสนุน ข.เป็นโครงการที่หมอทำงานหนักขึ้น ค. เป็นโครงการที่หลักการดี ง.ไม่ควรทำเพราะซ้ำซ้อนกับระบบประกันสังคม จ.เป็นโครงการที่ทำให้หมอลาออกจำนวนมาก โจทย์ข้อนี้ต้องการวัด Optimismดังนั้นถ้านักเรียนตอบข้อ ก. ข. หรือ จ. แสดงให้เห็นถึงการมองโลกในแง่ร้าย จะไม่ได้คะแนน

อีกตัวอย่าง นางกุ้งกลับจากสัมมนาพร้อมนางก้อย ปรากฏว่าระหว่างทางนางก้อยขับรถชนคนแก่ โดยที่ไม่มีใครเห็น แล้วจะหนี ถ้าคุณเป็นนางกุ้งจะทำอย่างไร ก. แจ้งความแล้วบอกว่าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ข. บอกให้ก้อยมอบตัว

ค.โทรบอกแม่ก้อย แล้วให้แม่ตัดสินใจ ง. ขอลงจากรถไปช่วยคนแก่ก่อน จ.เก็บไว้เป็นความลับ รู้กันแค่สองคน ข้อนี้ต้องตอบข้อ ง. เป็นการวัดคุณสมบัติ CARE



ส่วนคำถามที่วัดความรับผิดชอบ ต้องระวังอยู่อย่างหนึ่ง คือ ความรับผิดชอบของแพทย์ไม่ได้ครอบจักรวาล ดังนั้นใครที่คิดว่าตอบแบบพระเวสสันดร จะได้คะแนนสูง เป็นความเข้าใจที่ผิด เช่น โจทย์ถามว่า เมื่อมีวัยรุ่นท้องนอกสมรสมาขอทำแท้งกับท่าน ท่านควรทำเช่นไร ก.นัดพ่อแม่ของเด็กมาคุยเพื่อช่วยกันวิเคราะห์หาทางออก ข.เรียกแฟนของวัยรุ่นคนนั้นมาแล้วโน้มน้าวให้แสดงความรับผิดชอบ ค.บอกเด็กว่าอย่าทำแท้ง หมอจะช่วยดูแลและหาสถานรับเลี้ยงเด็กให้ ง.ไม่ทำแท้งให้ และส่งให้ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ดูแลต่อ จ. แนะนำให้ไปสถานที่คุมกำเนิดของเอกชนแทน คำตอบ ข้อ ก. ข. และ ค. อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของหมอ ดังนั้น ข้อที่เหมาะสมที่สุดคือ ข้อ ง. ซึ่งหลายคนอาจตอบข้อ ก. ข. หรือ ค. แต่ความจริงแล้วข้อเหล่านั้นคะแนนไม่สูง ( วิธีการให้คะแนนของวิชาเฉพาะแพทย์ก็ถูกเก็บเป็นความลับเช่นกัน แต่เข้าใจว่า ตอบได้เพียงข้อละตัวเลือก แต่ละตัวเลือกจะมีคะแนนต่างๆกันไป รวมทั้งมีคะแนนติดลบด้วย)

ข้อสอบปีที่ผ่านมา ออกแบบวัด Decision และ Observation โดยให้กรณีตัวอย่างมายาวมากประมาณเกือบหนึ่งหน้ากระดาษ แล้วให้วิเคราะห์สถานการณ์นั้น ส่วนคุณสมบัติด้าน Teacher มักจะออกในรูปของการวิเคราะห์ทัก๋ษะทำงานกลุ่ม การเป็นผู้นำกลุ่ม เพราะแพทย์ต้องทำงานเป็นทีม และต้องสอนบุคลากรที่เกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา

คำถามที่วัด การมองโลกในแง่ดี จะรวมไปถึงการควบคุมอารมณ์ด้วย แพทย์ที่มองโลกในแง่ดีจะไม่มีอารมณ์ ดังนั้น คำตอบที่แสดงออกถึงความมีอารมณ์จะไม่ใช่คำตอบที่ถูก เช่น ประโยคใดน่าจะได้รับความร่วมมือจากผู้ฟังมากที่สุด ก.มัวโอ้เอ้ เดี๋ยวก็ตกรถกันหมดหรอก ข.เร็วๆหน่อยสิทำอะไรช้าจัง ค.ใครๆเขารออยู่ รู้ไหม ง.ช้านัก เดี๋ยวปล่อยให้อยู่ที่นี่ซะเลย จ. เร็วเข้าเถอะ เดี๋ยวไม่ทันรถออก คำตอบที่ไม่มีอารมณ์คือข้อ จ.

มีคุณสมบัติของแพทย์อีกมากมาย ที่สามารถนำมาออกเป็นข้อสอบได้ ไม่ใช่เฉพาะตัวย่อจาก DOCTOR ซึ่งถ้าน้องๆมีคุณสมบัติตรงตามที่ กสพท.ต้องการ ก็จะได้คะแนน ข้อสอบวิชานี้ถูกจัดทำขึ้นตามหลักจิตวิทยาชั้นสูงโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้น อย่าคิดว่าจะหลอกข้อสอบได้ ในทางกลับกันต้องระวังถูกข้อสอบหลอกถาม แต่อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นโชคดีของนักเรียนรุ่นปัจจุบัน ที่มีวิชาเฉพาะแพทย์ เพราะทำให้นักเรียนที่เรียนเก่งไม่มาก สามารถสอบเข้าแพทย์ได้ง่ายขึ้น นั่นเพราะความเป็นคนดีสำคัญกว่าความเป็นคนเก่ง แพทย์ที่ดีแต่ไม่เก่ง จะสามารถพัฒนาตนเองจนกลายเป็นคนเก่งได้ในอนาคต แต่แพทย์ที่เป็นคนเก่งแต่ไม่ดี โอกาสที่จะพัฒนาจิตใจให้กลายเป็นคนดี จะยากกว่ามาก

สพฐ.วิจัยแท็บเล็ต 5รร."หนูทดลอง

พฐ.ทำโครงการวิจัยโรงเรียนประถมนำร่องใช้แท็บเล็ตก่อนแจก โดยให้ รร.สาธิต มศว และ รร.ในสังกัด สพฐ.อีก 4 โรง ทดลองใช้นำร่อง เริ่มทำวิจัยเทอม 2 นี้ก่อนสรุปผล


นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินนโยบายแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนเพื่อใช้เป็น เครื่องมือทางการศึกษา ตามนโยบาย One PC Tablets per child ของรัฐบาลว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ประสานมิตร ไปคัดเลือกห้องเรียนประถมในโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร ระดับประถม อย่างน้อย 2 ห้อง เพื่อตั้งเป็นห้องเรียนตัวอย่างทำการวิจัยเปรียบเทียบให้เห็นข้อดี-ข้อเสีย ระหว่างห้องเรียนที่เรียนผ่านแท็บเล็ต และห้องที่ไม่ได้เรียนผ่านแท็บเล็ต ทั้งนี้ จะมีการจัดทำวิจัยนำร่องในโรงเรียนทั้งหมด 5 โรง ได้แก่ โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร 1 โรง และโรงเรียนในสังกัดของ สพฐ. อีก 4 โรง ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงการคัดเลือกผ่านการกำหนดคุณสมบัติของโรงเรียนที่สอด คล้องกับการวิจัย อาทิ จะต้องมีห้องเรียนประถมเพื่อการวิจัยอย่างน้อย 2 ห้อง ทั้งช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) และช่วงชั้นที่ 2 (ป.4-ป.6) เป็นต้น


เลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า การวิจัยครั้งนี้จะเริ่มวิจัยในช่วงภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 และจะมีการสรุปผลหลังจบภาคเรียน อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ สพฐ.ไม่ทำการวิจัยในทุกช่วงชั้นนั้น เพราะผู้วิจัยกังวลว่าอาจจะเกินการควบคุม เพราะต้องส่งครูและทีมงานด้านคอมพิวเตอร์จากส่วนกลางลงไปมาก ดังนั้น จึงจำกัดแค่ 2 ช่วงชั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ในส่วนเครื่องแท็บเล็ตที่จะนำมาใช้ในการวิจัยนั้น จากการหารือร่วมกับกระทรวงกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ก็ได้ข้อสรุปแล้วว่า จะใช้วิธีการรับบริจาคแท็บเล็ตในการวิจัยแทนการจัดซื้อ ซึ่งก็ได้กำหนดสเปกขั้นต่ำไว้แล้ว โดยดูจากวัตถุประสงค์การใช้งานเป็นหลัก.

หมอเก่ง มศว ชนะการแข่งขัน เกมหมอยอดนักสืบ


นิสิตแพทย์ตะลันต์ เทพอารีย์ รัฐพร บำรุงผล และพิชามญฐ์ อินกอง นิสิตคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ชนะการแข่งขัน รายการ The symptom เกมหมอยอดนักสืบ สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ช่อง 9 อสมท. ได้รับเงินรางวัล 100,000 ซึ่งนิสิตแพทย์ทั้ง 3 คน ได้ขอมอบเงินรางวัลดังกล่าวให้แก่ มูลนิธิการแพทย์สยามบรมราชกุมารี โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี คณะแพทยศาสตร์ มศว ต่อไป เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2554

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิธีการเผ้าระวังอาการโรคข้อเข่าเสื่อม


ข้อเข่าเสื่อม อาการเสื่อมตามสภาพ หรือการสึกกร่อน ของกระดูกอ่อนผิวข้อที่ผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะเพศหญิง แต่ในปัจจุบันด้วยรูปแบบการใช้ชีวิต ที่หนักหน่วง เช่น การเล่นกีฬาผิดท่า การขึ้นลงบันได้บ่อยๆ หรือน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัจจัย เสี่ยงเพิ่มขึ้น หากมีอาการ ปวดข้อเข่า ข้อเข่าขัด รู้สึกเมื่อยตึงที่น่อง มีเสียงลั่นที่ข้อเวลาเดินหรือเคลื่อนไหว เดินไม่สะดวก หากปล่อยไว้นานจนถึงระยะรุนแรง อาจถึงขั้นเดินไม่ได้

ด้วยพัฒนาการทางการแพทย์ และเทคโนโลยีแบบแผลเล็กเจ็บน้อย Minimally Invasive Surgery ช่วยให้การรักษาการผ่าตัดข้อเข่าเทียมง่ายยิ่งขึ้น ช่วยให้เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็ว ความเสียหายต่อเนื้อเยื้อภายในน้อยลง อาการปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า ช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ปกติเร็วขึ้น พร้อมด้วยมาตรฐานการรักษาโรคเฉพาะทางระดับสากล โรคข้อเข่าเสื่อม แห่งแรกในประเทศไทย ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสหสาขาวิชา ที่ได้รับการรับรองจาก JCI สถาบันรับรองคุณภาพระดับสากลแห่งสหรัฐอเมริกา

Minimally Invasive Surgery
คือพัฒนาการทางการแพทย์ และเทคโนโลยีแบบแผลเล็กเจ็บน้อย ที่ช่วย ให้การรักษาการผ่าตัดข้อเข่าเทียมง่ายยิ่งขึ้น เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็ว อาการปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า ช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ปกติเร็วขึ้น พร้อมด้วย มาตรฐาน การรักษาโรคเฉพาะทางระดับสากล โรคข้อเข่าเสื่อมแห่งแรกในประเทศไทย ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสหสาขาวิชา ที่ได้รับการรับรองจาก JCI สถาบันรับรองคุณภาพระดับสากลแห่งสหรัฐอเมริกา

คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือไม่ ใช่ ไม่ใช่
1. เพศชาย หญิง อายุ 40 ปีขึ้นไป
2. มีน้ำหนักตัวมาก (ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 25)
3. มีกิจวัตรการทำงาน ที่ต้องเดินอยู่ตลอดเวลา
4. มีอาการเข่ายืด ฝืด หรืองอ ลำบาก
5. มีเสียงดังก๊อบ แกร๊บ ที่เข่าขณะเคลื่อนไหว
6. มีอาการปวดที่ข้อเข่า หรือขาเวลาเดิน หรือลงบันได
7. มีอาการปวด เจ็บแปล๊บ ที่ข้อเข่าเวลาเดิน
8. มีอาการปวดข้อเข่าเวลานอน
9. มีปัญหาปวดข้อเข่าเวลาใส่ถุงเท้า รองเท้า หรือขณะลุกนั่ง
10. มีอาการปวดปวมอักเสบที่ข้อเข่า
11. ไม่สามารถเดินได้ปกติ ต้องเดินโยกตัว
12. ขาโก่งงอผิดรูป

สัญญาณเตือนภัย!
หากคุณมีอาการเหล่านนี้มากกว่า 3 ข้อขึ้นไป คุณอาจมีความเสี่ยงต่อโรคข้อเข่าเสื่อม หากปล่อยไว้นานจนถึงระยะรุนแรง อาจเป็นหนักขั้นเดินไม่ได้ เพื่อชะลอความเสื่อมให้ช้าลง และได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ให้สามารถดำเนินคุณภาพชีวิตได้ตามปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ครั้งแรกในประเทศไทย
มาตรฐานการรักษาระดับสากล การดูแลรักษาโรคเฉพาะทางสำหรับผู้ป่วย โรคข้อเข่าเสื่อม (Disease or Condition Specific Care Certification Osteoarthritis of the Knee) ได้รับการรับรองจาก JCI สถาบันรับรองคุณภาพระดับสากลแห่งสหรัฐอเมริกา

นพ.บัญญัติ เกตุมาลาศิริ
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ

หลายพื้นที่ยังประสบภัยปัญหาน้ำท่วม บางที่อาจพบเจอปัญหา ทากดูดเลือด สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ได้แนะนำวิธีการแก้ปัญหา เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ห้ามดึงออก เพราะเลือดจะหยุดยาก จี้ตัวทากด้วยธูปติดไฟหรือไม้ขีดติดไฟ โรยเกลือป่นบนตัวทาก หรือใช้น้ำส้มสายชู เหล้าหรือน้ำมันราดตัวทาก ทากจะหลุดออกมา ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ แล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซหรือแผ่นปิดแผลสำเร็จรูป

สาวผมมัน ต้องสระผมทุกวันหรือเปล่า..?


สาวๆ หลายคนคงจะประสบกับปัญหาเส้นผมมัน จนทำให้สูญเสียความมั่นใจ ไปได้เหมือนกัน ซึ่งสาวๆ บางคนก็เลี่ยงโดยการเกล้าผมบ้าง รัดผมบ้าง เพื่อปกปิดสภาพเส้นผมที่มันเยิ้ม ลีบแบน จัดทรงยาก เหนียวเหนอะหนะ และอาจจะมีอาการของผมร่วงร่วมด้วยค่ะ จนบางทีก็อดหงุดหงิดใจใม่ได้ ในวันที่อยากจะปล่อยผมยาวสลวยในอารมณ์สบายๆ บ้าง แถมการมีสภาพเส้นผมมันนั้นทำให้เจ้าพวกสิ่งสกปรกจำพวกฝุ่นละอองต่างๆ มาเกาะที่หนังศีรษะได้มากกว่าคนอื่นๆ แต่จริงๆ แล้วก็มีข้อดีอยู่บ้างค่ะ

เพราะสาวผมมันนั้นมักจะไม่ค่อยเจอกับปัญหาเส้นผมแตกปลายสักเท่าไหร่...เอาเป็นว่าเรามารู้จัก และหาวิธีดูแลเส้นผมมันกับวิธีตามแบบฉบับสบายอารมณ์ ให้เป็นสาวผมสลวยกันดีกว่าค่ะ
สาวๆ ทราบไหมคะว่า สภาพผมมันนั้นเกิดจากการที่ต่อมไขมันที่บริเวณหนังศีรษะ ซึ่งอยู่บริเวณรากผม ผลิตไขมันออกมามากเกินไป แต่จริงๆ แล้วไขมันนี้มีประโยชน์ต่อเส้นผมมากเลยนะคะ เพราะทำให้เส้นผมแข็งแรง ไม่แห้งแตกปลาย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมมันนั้นมักจะเกิดมาจากหลากหลายสาเหตุ ซึ่งสาวๆ ก็ต้องสังเกตุตัวเองให้ดีๆ ค่ะว่ามีสาเหตุเกิดมาจากอะไร เช่น ฮอร์โมนไม่ปกติ พันธุกรรม รับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ อยู่ในบริเวณร้อนชื้นอยู่เป็นประจำ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม

ในภาวะที่มีอาการผมร่วงร่วมด้วนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วนั้นการที่มีสภาพเส้นผมมันตามธรรมชาติจะไม่สามารถทำให้เกิดผมร่วงมากสักเท่าไหร่ แต่การที่สีการสะสมไขมันบริเวณหนังศีรษะมากๆ นั้นจะสามารถไปอุกตันบริเวณรอบๆ รากผมทำให้การไหลเวียนของเลือด การนำพาสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงรากผมได้ไม่ดี และอาจจะทำให้เชื้อโรคบริเวณหนังศีรษะมีมากขึ้น ทำให้การทำงานของรากขนผิดปกติไป เกิดอาการผมร่วง และผมขึ้นใหม่ได้น้อยลง ทำให้ผมบางลงเรื่อยๆ เกิดศีรษะล้านตามมาได้ในที่สุด

ผมมันอยู่ใช่ไหม มาฟังทางนี้ดีกว่า

1. สระผมทุกวัน ด้วยแชมพูที่มีค่า PH เป็นกรดอ่อนๆ (PH ประมาณ 5.5 - 6.5) จะช่วยลดหนังศีรษะมันได้ดี หรือใช้แชมพูสูตรสำหรับผู้ที่มีผมมันโดยเฉพาะ แชมพูสำหรับผมมันจะมีสารฟอกค่อนข้างแรง และในขณะสระผมควรทิ้งแชมพูไว้ประมาณ 5 นาที หลีกเลี่ยงการถูขยี้หนังศีรษะ แล้วจึงล้างออก ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมนวดผม เนื่องจากมีไขมันที่ผลิตขึ้นมาบนหนังศีรษะแล้วแต่ถ้าหากมีผมแตกปลาย ควรใช้ครีมนวดผมที่ปลายเท่านั้น

2. ล้างผมด้วยน้ำเย็น สาวๆ ที่มีปัญหาเส้นผมมันมากๆ ควรจะใช้น้ำเย็น หรือน้ำธรรมดาสระผม เนื่องจากน้ำเย็นจะช่วยปิดเกร็ดผม และรักษาความชุ่มชื้น ทำให้ผมนุ่ม และช่วยปิดรูขุมขนบริเวณหนังศีรษะอีกด้วย

3. หลีกเลี่ยงการจัดแต่งทรงผม เพราะการใช้น้ำมันใส่ผม ครีมแต่งผม หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ต่างๆ โดยเฉพาะที่ทำจากกรีเซอรีนหรือซีรีโคน (glycerin and silicone) จะทำให้ผมมันมากขึ้นไปอีก

4. ลดผมมันด้วยสูตรธรรมชาติ โดยผสมน้ำส้มสายชู 1 ส่วนในน้ำ 4 ส่วน ใช้ล้างผมครั้งสุดท้าย หรืออาจใช้น้ำมะนาวผสมน้ำ แทนน้ำส้มสายชูในการล้างผม จะช่วยให้ลดความมันของเส้นผมได้ดี และปลอดภัยต่อหนังศีรษะอีกด้วย

5. ลดอาหารที่มีไขมันมากๆ กินอาหารพวกวิตามินบี เกลือแร่ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ นมถั่วเหลือง พืชตระกูลถั่ว ควรหาเวลาพักผ่อน ทำใจให้สบาย เนื่องจากความเครียดจะส่งผลต่อระบบการที่โลหิตหมุนเวียนไปเลี้ยงหนังศีรษะ

6. ไม่ควรหวีผมบ่อยเกินไป เนื่องจากการหวีผมบ่อยมากเกินไปจะกระตุ้นให้หนังศีรษะผลิตน้ำมันออกมามาก ควรใช้มือในการสางผมก็พอ

7. ทางเลือกใหม่ ใช้แชมพูจากธรรมชาติดีที่สุด ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่มีสารประกอบจากธรรมชาติ เช่น ส้ม มะกรูด มะนาว มะม่วง อาจจะมีการผสมน้ำยาฆ่าเชื้อ (Antiseptic) ลงไปในแชมพู เพื่อลดการเจริญของแบคทีเรียที่มีอยู่บริเวณรากผม อาจจะมีส่วนผสมของ Zinc PCA (สังกะสี พีซีเอ) ซึ่งจะควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน และลดการผลิตน้ำมันลง

เพียงเท่านี้ก็บอกลาผมมัน มาเป็นสาวผมสลวย สวยได้ทุกวัน มั่นได้ทุกทรงกันแล้วล่ะค่ะ