วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มาศึกษา "ครัวซอง" กัน

ครัวซอง

ครัวซอง (ฝรั่งเศส: croissant) คือขนมอบชนิดหนึ่งที่กรอบ ชุ่มเนย และโดยทั่วไปจะมีลักษณะโค้งอันเป็นที่มาของชื่อ "croissant" ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสหมายถึง "จันทร์เสี้ยว" บางทีก็ถูกเรียกว่า crescent roll (โรลจันทร์เสี้ยว)

การทำครัวซองค์จะต้องใช้แป้งพายชั้น (puff pastry - พัฟ เพสทรี่) ที่ผสมยีสต์ นำมารีดให้เป็นแผ่น วางชั้นของเนยลงไป พับและรีดให้เป็นแผ่นซ้ำไปมา ตัดเป็นแผ่นสามเหลี่ยม นำไปม้วนจากด้านกว้างไปด้านแหลม บิดปลายให้โค้งเข้าหากัน อบโดยใช้ไฟแรงให้เนยที่แทรกอยู่เป็นชั้นดันแป้งให้ฟูก่อน จึงค่อยลดไฟลงไม่ให้ไหม้

การทำครัวซองเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทักษะและความอดทน ครั้งหนึ่งอาจจะใช้เวลาหลายวัน

ทำนายนิสัย จากรสไอศกรีมที่ชอบ

คนส่วนใหญ่ชอบทานไอศกรีมกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ ลองดูว่า ไอศกรีมที่คุณชอบจะทำนายนิสัยคุณได้ว่าอย่างไร

รสวนิลา
เป็นคนที่ร่าเริง ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย มีความรักใคร่ในศักดิ์ศรีของตน เป็นที่รักของคนทั่วไป


รสกาแฟ
เป็นคนที่ชอบการทำงาน ที่ต้องอาศัยความรับผิดชอบมาก มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง มีลักษณะเป็นผู้นำ เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ก็ต้องทำให้สมบูรณ์กว่าผู้อื่น และเป็นคนที่ชอบการแข่งขัน


รสสตรอเบอร์รี่
เป็นคนที่ชอบทำตัวสบายๆ คบคนง่าย แม้กับคนแปลกหน้า มักมองคนในแง่ดี เป็นคนที่มีความเมตตา ชอบช่วยเหลือ และให้ความรักต่อผู้อื่น


รสช็อคโกแลต
เป็นคนที่ข้องข้างมีจิตใจอ่อนไหว ขี้เหงา ชอบคิดถึงแต่วันคืนในอดีตที่ผ่านมาแล้ว และเป็นคนที่ยึดในขนบธรรมเนียม ประเพณีต่าง ๆ ไว้เป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีวิต


รสช็อคโกแลตชิป
เป็นคนที่ตั้งความหวังในชีวิตไว้สูง มักมองโลกในแง่ดี เป็นคนที่สามารถแก้เรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้เสมอ


รสผสม
เป็นคนที่ชอบความหลากหลาย มีชีวิตยืดหยุ่น ชอบการประนีประนอม


ไม่ชอบกินไอติม
เป็นคนที่รักอิสระเสรี ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองสูง ชอบดำเนินชีวิตอยู่บนความ เป็นเหตุเป็นผล

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ใส่คอนแทคแฟชั่นมีผลอย่างไรต่อดวงตา ?


เตือน! อย่าใส่คอนแทคเลนส์ตามแฟชั่นหวั่นติดเชื้อ จนถึงตา บอด
ชี้ใส่ได้ไม่เกิน 8-12 ชม.ต่อวัน จักษุแพทย์เตือนวัยรุ่นอย่าทดลองใส่คอนแทคเลนส์ตามแฟชั่น หลังหนุ่มนิวซีแลนด์ใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นและติดเชื้อจนตาบอดแนะปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนการเลือกสวมใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิด แยกน้ำยาทำความสะอาดตามขั้นตอนให้ผลดีกว่าใช้น้ำยาประเภท “3 อิน 1” และห้ามใส่คอนแทคเลนส์นอนหลับอย่างเด็ดขาด เสี่ยงติดเชื้อเสียดวงตา
ตาม ที่หนังสือพิมพ์"เดอะ นิวซีแลนด์ เฮอร์รัลด์" อ้างคำเตือนของนายแพทย์ เทเวอร์ เกรย์ จักษุแพทย์เรื่องความเสี่ยงจากการใช้คอนแทคเลนซ์แฟชั่น สำหรับเปลี่ยนสีหรือรูปแบบของดวงตา หลังจากหนุ่มนิวซีแลนด์วัย 24 ปี ซึ่งไม่ได้มีปัญหาเรื่องการมองเห็นจนต้องสวมแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนซ์ ต้องตาบอดไปข้างหนึ่งเพราะสวมใส่เลนซ์ชนิดดังกล่าว เพื่อความสนุกสนานในงานปาร์ตี้ แต่ได้เกิดอาการติดเชื้อหลังสวมใส่เลนซ์อยู่นาน 3 วัน โดยนายแพทย์เกรย์เปิดเผยว่า อาการติดเชื้อได้กัดกินแก้วตาข้างหนึ่งของหนุ่มเคราะห์ร้ายคนนี้ไปจนหมดเหลือแต่ดวงตาสีขาวน่ากลัวเหมือนในนิยายวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันเขาต้องใส่แก้วตาเทียม ซึ่งไม่อาจช่วยในการมองเห็น


นพ. วิชัย ประสาทฤทธา ภาควิชาจักษุวิทยา รพ.รามาธิบดี กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่าโดยปกติแล้วการสวมใส่คอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัส มีโอกาสเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้น้อยมาก หากมีการดูแลรักษาความสะอาดของคอนแทคเลนส์ตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดจากผู้สวมใส่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการ รักษาความสะอาด และสวมใส่คอนแทคเลนส์ในเวลานอนหลับ เพราะการสวมใส่คอนแทคเลนส์นอนหลับจะทำให้ดวงตาได้รับออกซิเจนน้อยลง ออกซิเจนจะไปเลี้ยงกระจกตาได้น้อยกว่าปกติ จึงเกิดการติดเชื้อขึ้น และเนื่องจากเป็นเลนส์สัมผัสทำให้อาการติดเชื้อมีความรุนแรงและลุกลามอย่าง รวดเร็วจนถึงขั้นทำให้ตาบอด

นพ. วิชัย กล่าวอีกว่า สำหรับการสวมใส่คอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมนั้น สามารถสวมใส่ได้ในระยะเวลา 8-12 ชั่วโมงติดต่อกัน โดยหลังจากนั้นต้องดูแลทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ น้ำยาสลายคราบโปรตีน และน้ำยาแช่ฆ่าเชื้อ โดยการแช่ฆ่าเชื้อต้องทำไม่ต่ำกว่าวันละ 4 ชั่วโมงอย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการโฆษณาว่าน้ำยาทำความสะอาดคอนแทคเลนส์บางชนิดมี คุณสมบัติเป็นทั้งน้ำยาล้างทำความสะอาด สลายคราบโปรตีน และแช่ฆ่าเชื้อ ซึ่งประสิทธิภาพของน้ำยาดังกล่าวจะไม่ดีเท่ากับการใช้น้ำยาแยกเฉพาะในการทำ ความสะอาดแต่ละขั้นตอน เป็นเพียงกลยุทธ์การโฆษณาทางการตลาดของผู้ประกอบการเท่านั้นจึงแนะนำให้แยกใช้น้ำยาทำความสะอาดแต่ละขั้นตอน เพื่อยืดอายุการใช้งานคอนแทคเลนส์ และป้องกันการติดเชื้อ โดยคอนแทคเลนส์รายเดือนนั้นมีอายุการสวมใส่ 1- 1 เดือนครึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลทำความสะอาด หากไม่รักษาความสะอาดให้ดีเพียงแค่ 2 สัปดาห์ก็อาจจะมีสิ่งสกปรกตกค้างจนต้องเปลี่ยนคู่ใหม่ แต่หากรักษาความสะอาดเป็นอย่างดีก็จะทำให้อายุการใช้งานนานขึ้นไปด้วย

นพ. วิชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์เป็นประจำ หากมีอาการมองเห็นภาพพร่ามัวเคืองตา ตาแดง ให้เอาคอนแทคเลนส์ออกจากดวงตาและไปพบจักษุแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดอาการติดเชื้อและลุกลามจนถึงขั้นตาบอดได้ นอกจากนี้การเลือกสวมใส่คอนแทคเลนส์ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อน เพราะจักษุแพทย์จะมีความรู้เรื่องความโค้งของกระจกตา กำลังของเลนส์ และลักษณะเฉพาะของตาแต่ละคนที่บางคนอาจมีปริมาณน้ำตาน้อยเสี่ยงต่อเยื่อบุตา อักเสบซึ่งจักษุแพทย์จะได้ให้คำแนะนำที่เหมาะสม
“สำ หรับคอนแทคเลนส์แฟชั่นที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่นในการสวมใส่นั้น แม้ตัวคอนแทคเลนส์จะไม่มีอันตรายใดๆ แต่ผู้สวมใส่ต้องดูแลให้ถูกต้อง และไม่ควรจะทดลองสวมใส่หากไม่มีความจำเป็น เพราะคอนแทคเลนส์ไม่เหมือนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่จะทดลองสวมใส่เปลี่ยนไป ตามแฟชั่น เนื่องจากเป็นสิ่งที่สัมผัสกับดวงตาหากดูแลไม่ดีอาจจะเกิดผลเสียต่อดวงตาตาม มา ที่สำคัญห้ามผู้สวมใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิด ใส่คอนแทคเลนส์นอนหลับอย่างเด็ดขาด”

ผู้ที่ไม่เหมาะสมจะใช้คอนแทคเลนส์
1. ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคภูมิแพ้ โรคไซนัสเพราะจะทำให้ใส่คอนแทคเลนส์ไม่สบายตาและไม่ชัดได้ รวมถึงผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
2. ผู้ที่มีสุขภาพตาไม่ดี เช่น เป็นต้อลม ต้อเนื้อ ตาแดง กระจกตาไม่ไวต่อความรู้สึก ตาแห้งกะพริบตาครึ่งตา 3.ผู้ที่ทำงานที่มีมลภาวะ อาทิ ฝุ่นละอองมาก ลมพัดแรง ไอระเหยสารเคมี มีความร้อนสูง มีควันบุหรี่หรือควันพิษ มลภาวะดังกล่าวจะทำให้ความสบายตาลดลงขณะใส่คอนแทคเลนส์หรือคอนแทคเลนส์อายุการใช้งานสั้นลง เป็นต้น
3. ผู้ที่อายุไม่เหมาะสม เพราะคอนแทคเลนส์จะเน้นเรื่องการดูแลรักษาทำความสะอาดดังนั้นผู้ใช้จะต้องเข้าใจการใช้งานและข้อควรระวังในการใช้งานเป็นอย่างดี
ข้อควรปฏิบัติในการใช้คอนแทคเลนส์ที่ถูกอนามัย
1.ปฏิบัติตามขั้นตอนการดูแลทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ที่จักษุแพทย์แนะนำหรือที่ระบุไว้ในเอกสารที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด
2.ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อสำหรับคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสม (น้ำเกลือและน้ำตาเทียมไม่ใช่ผลิตภัณฑ์สำหรับฆ่าเชื้อ)
3.ไม่ควรนำน้ำยาที่ใช้แล้วมาใช้อีกครั้ง และควรซื้อจากร้านค้าที่ไว้ใจได้ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีมาตรฐานและคุณภาพสูง

วิจัยผลไม้ไทย ต้านโรคมะเร็ง


เมื่อวันที่ 20 ม.ค. นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดมาจากพฤติกรรมการกินการอยู่มากขึ้น ข้อมูลการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศบ่งชี้ว่า ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น เกี่ยวข้อง กับสารที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ โดยอนุมูลอิสระดังกล่าว สามารถทำปฏิกิริยาโยงใยในร่างกายได้มากมาย ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะโรคมะเร็งและโรคหัวใจนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก



สำหรับคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว จากปี 2540 เสียชีวิต 26,237 คน เป็น 52,062 คน ในปี 2549 เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 ราย เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดปีละ 34,000 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 4 ราย โดยอนุมูลอิสระนี้ มาจากภายนอกและภายใน ร่างกาย ได้แก่ มลพิษในอากาศจาก ควันบุหรี่ แสงแดด รังสีแกมมา คลื่นความร้อน ส่วนที่มาจากภายในร่างกายเกิดจากกระบวนการเผาผลาญของออกซิเจนภายในเซลล์ หรือเกิดจากย่อยทำลายเชื้อแบคทีเรียของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ก็ทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้


ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวด้วยว่า จากการวิจัยดังกล่าวพบว่า มีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน สารทั้ง 3 ตัวนี้ สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ จะทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ ส่วนวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์


ซึ่งมีในอาหารธรรมชาติประมาณ 600 กว่าชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตาเนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดี


ทั้งนี้ สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ มีมากในผักผลไม้หลายชนิด โดยเฉพาะที่มีสีเขียว แดง แสด และเหลือง เช่น ผักใบสีเขียวเข้ม ได้แก่ ผักขม ผักคะน้า ผักตำลึง ผักบุ้ง ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ มะม่วงสุก มะละกอสุก เป็นต้น วิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน และมีมากในน้ำมันพืชทั่วไป เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น ในผักและผลไม้มีวิตามินอีค่อนข้างน้อย ส่วนวิตามินซีมีมากในผักและผลไม้สดทั่วไป


ด้าน นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการที่กรมอนามัยทำการศึกษาผลไม้ ที่มีบริโภคในประเทศไทย 83 ชนิด ในปริมาณส่วนที่รับประทาน 100 กรัม พบว่า ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 873 ไมโครกรัม รองลงมา ได้แก่ มะเขือเทศราชินี 639 ไมโครกรัม มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม แคนตาลูปเหลือง 217 ไมโครกรัม มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม มะยงชิด 207 ไมโครกรัม สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม แตงโม 122 ไมโครกรัม ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม และลูกพลับ 93 ไมโครกรัม


สำหรับผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม และสตรอเบอร์รี่มี 0.54 มิลลิกรัม


ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม สตรอเบอร์รี่ 66 มิลลิกรัม มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม พุทราแอปเปิ้ล 47 มิลลิกรัม และส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม และจากการศึกษากล้วยต่างๆ 24 สายพันธุ์ พบว่า กล้วยไข่พม่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงสุด 528 ไมโครกรัม รองลงมาคือ กล้วยงาช้าง 520 ไมโครกรัม กล้วยไข่โนนสูง 397 ไมโครกรัม กล้วยนางพญา 393 ไมโครกรัม กล้วยไข่ 271 ไมโครกรัม และกล้วยหักมุกนวล 270 ไมโครกรัม


อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า ปกติเราจะได้รับสารอาหารทั้ง 3 ชนิดจากการรับประทานอาหารโดยทั่วไปน้อย เพราะถูกทำลายได้ง่ายจากความร้อน จึงต้องเพิ่มการรับประทานผลไม้และผักสดด้วย โดยแนะนำให้รับประทานอาหารให้หลากหลายชนิดและให้ได้สัดส่วนตามธงโภชนาการ โดยใน 1 วัน คนเราควรบริโภคผลไม้ ให้ได้วันละ 4 ส่วน โดย 1 ส่วนของผลไม้ หากเป็นผลไม้ขนาดเล็ก เช่น องุ่น ลิ้นจี่ ลำไย เท่ากับ 6-8 ผล, ผลไม้ขนาดกลาง เช่น ส้ม ชมพู่ กล้วย น้อยหน่า เท่ากับ 1-2 ผล


ส่วนผลไม้ขนาดใหญ่เช่น แตงโม สับปะรด มะละกอ จะเท่ากับ 6-8 ชิ้นพอคำ อย่างไรก็ดี ในกลุ่มที่ต้องคุมปริมาณน้ำตาล โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวาน อาจต้องเลือกผลไม้ที่รสไม่หวาน ในอเมริกาได้แนะนำให้ผู้ชายบริโภคแคโรทีนอยด์วันละ 6 มิลลิกรัม ในคนไทยแนะนำให้บริโภควิตามินอีวันละ 6-15 มิลลิกรัม และวิตามินซีวันละ 40-90 มิลลิกรัม

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อยากกินมันแกวๆ มาทางนี้ ฮ่าๆ^^


มันแกว (Jícama) เป็นพืชตระกูลถั่ว มีชื่อทวินามว่า "Pachyrhizus erosus (L.) Urbar" ลักษณะต้นเป็นเถาเลื้อย หัวอวบใหญ่ โคนตันเนื้อแข็ง ใบประกอบด้วย 3 ใบย่อยมีจักใหญ่ ดอกมีสีขาวหรือชมพูเป็นช่อ เมล็ดมีสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีแดงลักษณะสี่เหลี่ยมจตุรัสแบน โดยต้นมันแกว 1 ต้นมีเพียงหัวเดียว ส่วนที่ใช้รับประทานคือส่วนของรากแก้ว

มันแกวเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในหลายพื้นที่เช่นในแถบอเมริกากลาง แอฟริกาตะวันออก และในประเทศแถบทวีปเอเชียคือ ฟิลิปปนส์ อินเดีย จีน อินโดจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ในประเทศไทยมันแถวมีอยู่ 2 ชนิดคือ พันธุ์หัวใหญ่ และพันธุ์หัวเล็ก อาจจะมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาคได้แก่ ภาคใต้เรียกว่า "หัวแปะกัวะ" ภาคเหนือเรียกว่า "มันละแวก" "มันลาว" ส่วนภาคอีสานเรียกว่า "มันเพา" นอกจากนี้ยังอาจเรียกด้วยชื่ออื่นๆ เช่น "เครือเขาขน" "ถั้วบ้ง" และ"ถั่วกินหัว"

ส่วนหัวของมันแกว (รากแก้ว) เป็นส่วนที่ใช้รับประทาน ลักษณะภายนอกมีสีน้ำตาลอ่อนภายในมีสีขาว เมื่อเคี้ยว รู้สึกกรอบคล้ายลูกสาลี่สด อีกทั้งยังมีรสคล้ายแป้งแต่ออกหวาน โดยทั่วไปจะรับประทานสดๆ หรือจิ้มกับพริกเกลือ แล้วยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้ทั้งคาวและหวานอีกด้วย เช่น แกงส้ม แกงป่า ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดไข่ เป็นส่วนผสมของไส้ซาลาเปา และทับทิบกรอบ

แต่ในทางกลับกัน ต้นมันแกวสามารถใช้เป็นยากำจัดศัตรูพืช โดยใช้ส่วนของเมล็ด ฝักแก่ ลำต้น และราก แต่ส่วนเมล็ดจะมีสารพิษมากที่สุด ทำให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงดีที่สุด นอกจากนั้นถ้ามนุษย์รับประทานเมล็ดเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณมาก สารพิษ Routinone จะกระตุ้นระบบหายใจ แล้วกดการหายใจ ชัก และอาจเสียชีวิตได้

คุณค่าทางอาหารของมันแกวนั้นประกอบด้วยน้ำ 90.5% โปรตีน 0.9% คาร์โบไฮเดรต 7.6% ไม่มีเส้นใยอาหาร โดยรสหวานนั้นมาจาก oligofructose inulin ซึ่งในร่างกายของมนุษย์ ไม่สามารถเผาผลาญได้ ดังนั้นมันแกวจึงเหมาะสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ควบคุมน้ำหนัก

มันแกวควรเก็บในที่แห้ง อุณหภูมิระหว่าง 12 - 16 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านี้จะทำให้ส่วนรากช้ำได้ ถ้าเก็บรักษาถูกวิธีสามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 เดือน

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โอ๊ยย...ปวดฟัน!!!..แต่ยังไม่อยากถอนฟันทำไงดี ??..

มักมีคำถามว่า "ถ้าปวดฟัน แต่ไม่อยากถอนฟันจะทำอย่างไรดี??" แล้วถ้าถามว่า "ทำไมฟันนั้นมันปวด?" ก็ต้องตอบว่า "เพราะฟันนั้นมันผุ" แล้วถามว่า "ทำไมฟันนั้นจึงผุ? "ก็ตอบ "เพราะฝนนั้นมันตก ไม่ช่าย..." งั้นเราไปติดตามรายละเอียดกันดีกว่าค่ะว่าจะทำยังไงต่อดี


ฟันผุ คืออะไร? ทำไมฟันจึงผุ ? ฟันผุเกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อแข็งของฟัน ได้แก่ เคลือบฟัน เนื้อฟัน หรือเคลือบรากฟัน ในสภาวะปกติในช่องปากจะมีกระบวนการแลกเปลี่ยนแร่ธาตุ แคลเซี่ยมกับฟอสฟอรัสในชั้นผิวเคลือบฟัน กับ แคลเซี่ยมกับฟอสฟอรัสในน้ำลาย เกิดขึ้นตลอดเวลาอย่างสมดุล แต่ในภาวะที่จุลินทรีย์มีการย่อยสลายอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่ติดอยู่ตามซอกฟัน ก็จะเปลี่ยนให้สภาพแวดล้อมของน้ำลายกลายเป็นกรด มีผลให้กระบวนการแลกเปลี่ยนแร่ธาตุเหล่านั้นเสียความสมดุลได้ โดยฟันจะสูญเสียแคลเซี่ยมกับฟอสฟอรัสให้กับสภาพแวดล้อมมากกว่าการได้รับกลับคืน กระบวนการนี้หากเกิดขึ้นบ่อยๆอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้เกิดฟันผุค่ะ

การป้องกันฟันผุ ก็ต้องดูเเลอนามัยในช่องปากให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ วิธีง่ายๆ ก็คือการแปรงฟัน ด้วยยาสีฟันทั่วไปครั้งละประมาณ 2 นาทีค่ะ หากแปรงฟันก็แล้วทำไมใครๆ จึงมักจะฟันผุอีก นั้นก็ต้องลองพิจารณาดูนะคะว่าแปรงฟันนานพอไหม? แปรงฟันผ่านๆถูไปและถูมาแค่ 2 วินาที พอได้กลิ่นยาสีฟันหรือเปล่า?? ทุกท่านควรพยายามฝึกใช้แปรงสีฟันขนอ่อนนุ่มแล้วแปรงฟันให้นานขึ้น ทุกซอกทุกมุม วันละอย่างน้อย 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันช่วยในการทำความสะอาดซอกฟันด้วยทุกครั้ง และควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันทุก 6 เดือนด้วยนะคะ

แต่เมื่อมีฟันบางซี่ฟันผุแล้ว ก็ไม่ต้องตกใจนะคะ รักษาตามอาการกันต่อไปได้ ไม่มีปัญหาค่ะ เมื่อเริ่มฟันผุมักจะเกิดอาการเสียวฟันก่อนค่ะ เสียวไปนานๆ ก็จะปวดฟันได้ หากรู้สึกเสียวฟันต้องเริ่มต้นแก้อาการเสียวฟันก่อนนะคะ หากเสียวฟันโดยที่ตัวฟันยังไม่มีรอยผุ ยาสีฟันที่โฆษณาว่าช่วยลดอาการเสียวฟันก็ช่วยได้บ้าง แต่ต้องใช้อย่างต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์นะคะแต่ถ้าเสียวฟันไม่หายเสียทีก็ต้องลองไปตรวจฟันดูค่ะ หากเสียวฟันบริเวณคอฟันอาจเป็นเพราะฟันสึก หรือมีรอยผุ ก็รักษาโดยการอุดฟันเพื่อป้องกันฟันสึกหรือฟันผุลุกลาม จะค่อยๆ ช่วยลดอาการเสียวฟันได้ค่ะ แต่หากอุดฟันแล้วยังมีอาการปวดเพิ่งขึ้น นอกจากจะไม่หายเสียวฟันแล้ว ยังกลับปวดฟันหนักกว่าเดิมอีก แสดงว่ามีเชื้อโรคเข้าไปในโพรงประสาทฟันแล้วล่ะค่ะ

ฟันคนเราจะมีโพรงประสาทฟันอยู่ตรงกลางเหมือนไส้ apple ค่ะ ถ้าเชื้อโรคมากับน้ำลายเล็ดลอดตามรอยผุเล็กๆที่เรามองไม่เห็น แอบเข้าไปติดเชื้อในรากฟัน ก็จะทำให้รากฟันอักเสบ มีอาการปวดฟันได้ค่ะ

เมื่อฟันมีอาการปวดหนักถึงขั้นนี้แล้ว ก็ถึงทางเลือก 2 ทาง คือจะถอนฟัน หรือจะรักษารากฟันเพื่อเก็บฟันไว้ใช้ต่อไปเท่านั้นล่ะค่ะ ถ้าตัดสินใจถอนฟัน ก็ทำใจไว้ล่วงหน้าว่าบริเวณที่ถอนไปต่อไปจะกลายเป็นเหงือกโล่งๆ รอวันใส่ฟันต่อไป คงต้องคิดหนักนิ๊ดนึงในการถอนฟันด้านหน้านะคะ เวลายิ้มฟันหลอเเย่เลย...ถ้าตัดสินใจเก็บฟันไว้ ก็ต้องรักษารากฟันค่ะ กระบวนการขั้นตอนในการรักษารากฟันนั้น ย่อมใช้เวลารักษามากมายหลายครั้ง และแน่นอน ค่าใช้จ่ายมากกว่าถอนฟันอย่างแน่นอนค่ะ ตรงนี้ก็ต้องพูดจาพาทีกับทันตแพทย์ผู้รักษากันให้เข้าใจว่า ต้องรักษากี่ครั้ง แต่ละครั้งแบ่งค่าใช้จ่ายได้ครั้งละเท่าไหร่ ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไรบ้าง

การรักษารากฟันจำเป็นต้องมีการ X-ray ฟันประกอบการรักษารากฟันในแต่ละครั้งด้วยนะคะ และขั้นตอนรักษารากฟันคร่าวๆ มีดังต่อไปนี้ค่ะ

ในแต่ละขั้นตอนที่ทำการรักษา ต้องฉีดยาชาเพื่อไม่ให้เจ็บมากค่ะ แต่หลังจากยาชาหมดฤทธิ์แล้ว คนไข้อาจรู้สึกปวด ระบมได้ เล็กน้อย ในช่วง 2-3 วันแรก ดังนั้นภายหลังการรักษารากฟัน ก็ทานยาแก้ปวดไปก่อนค่ะ แต่หลังจากเสร็จการรักษาทุกขั้นทุกตอนและไม่มีความผิดปกติใดๆ ระหว่างการรักษา อาการปวดฟันควรจะหายไปจนสามารถใช้ฟันเคี้ยวอาหารได้อย่างเป็นปกติค่ะ เพราะการรักษารากฟันคือการกำจัดประสาทฟันอักเสบที่เป็นสาเหตุของอาการปวดฟันออกไปแล้วนี

ภายหลังรักษารากฟันเสร็จแล้ว ควรมีการรักษาต่อด้วยการครอบฟัน เพื่อรักษาเนื้อฟันให้คงทนแข็งแรง และสามารถใช้งานได้นานๆต่อไปด้วยค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่ารักษารากฟัน ครอบฟันแล้ว ฟันจะอยู่ได้ตลอดกาล ไม่เป็นอะไรเลย ไม่ใช่นะคะ เรารับประทานอาหารทุกวัน วันละหลายมื้อค่ะ ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดี ฟันก็ผุซ้ำได้ ปวดฟัน เป็นหนองได้อีกค่ะ ดังนั้นจึงควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันทุก 6 เดือน

สารพัดประโยชน์จากมะเขือเทศ Tomato


สารไลโคฟีน (Lycopene) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid)

ที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และช่วยในการป้องกันการเสื่อสภาพของเซลล์ในร่างกาย สารไลโคฟีนนี้มีประสิทธิภาพเหนือว่าสารเบต้าเคโรทีน และสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อื่น ๆ ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่มดลูกและปอด ยังพบอีกว่าสารไลโคฟีนนั้นสามารถช่วยลดโอกาสความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากได้มากถึง 21% อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมในตำรับยาที่ใช้ป้องกันอันตรายอันเกิดจากการผลิตอนุมูลอิสระที่ผิดปกติ สารไลโคฟีนนี้จะพบมากในมะเขือเทศแดงสด แตงโม และฝรั่งขี้นกที่มีเนื้อสีชมพูอมแดง เป็นต้น


การรับประทานมะเขือเทศเพียงวันละ 1-2 ลูกจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เป็นต้นว่า ช่วยต้านโรคความดันโลหิตสูง บำรุงดวงตา และสายตา บำบัดอาการปัสสาวะขัด บำรุงเหงือกและฟัน ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว เยียวยาโรคเลือดออกตามไรฟัน ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ คุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แก้ท้องผูก และบำรุงผิวพรรณ และหากใช้มะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ หรือน้ำคั้นจากผลสดทาหน้า ช่วยทำให้ผิวหน้าตึง มีน้ำมีนวล

การรับประทานมะเขือเทศดิบ จะมีผลร้ายแรงเพราะจะมีสารที่ออกฤทธิ์รุนแรง จัดเป็นสารพิษ Steroidal alkaloid ในมะเขือเทศ คือ a-tomatine ซึ่งได้จากใบและส่วนเหนือดิน ในผลสีเขียวจะมี alkaloid 0.03% ในผลสุกไม่พบ alkaloid คุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของ Steroidal alkaloid คือ ทำปฏิกิริยากับสเตียรอลที่เซลล์ผิวเป็นผลให้เม็ดเลือดแดงแตก ทำให้ผิวหนังและเนื้อบุผิวระคายเคืองอย่างแรง มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รา และใช้เป็นยาฆ่าแมลงมีคุณสมบัติยับยั้งเอมไซม์โคลีนเอสเตอเรส กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและต่อมาจะทำให้เป็นอัมพาต หากรับประทานในขนาดที่จะทำให้เกิดพิษจะระคายเคืองทางเดินอาหารอย่างแรง

มะเขือเทศเป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณ
วิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล มะเขือเทศผลหนึ่งจะมีวิตามินเอราว 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน
นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตูอื่นๆ อีกหลายชนิด
มะเขือเทศมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมีวิตามิน P (citrin) ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด

มะเขือเทศยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง มะเขือเทศมีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตาได้
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย

ช่วยบำรุงผิวลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น และยังสามารถต้านมะเร็งได้ด้วย
มะเขือเทศยังมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อราได้

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีกำจัดสิวให้หน้าใส

วิธีกำจัดสิวให้หมดไปได้หน้าใสกลับคืนมา

วิธีกำจัดสิวให้หมดไปได้หน้าใสกลับคืนม
- ถ้าเป็นสิวเฉพาะจุด หรือเป็นสิวเล็กน้อยไม่กี่เม็ด ก็รักษาเฉพาะจุดก็ได้โดย

วิธีที่ 1 การนำไข่ขาวมาแต้มตรงหัวสิวก่อนนอนทิ้งไว้ทั้งคืนทำทุกวันจนกว่าสิวจะยุบหายไป
วิธีนี้จะทำให้สิวยุบตัวได้ภายใน 3 วัน และไม่ทิ้งรอยดำไว้ให้รำคาญใจด้วย

วิธีที่ 2 ตัดเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ปิดไว้บริเวณหัวสิวแล้วใช้ผ้าก๊อชปิดทับอีกทีก่อนเข้านอน
จะช่วยให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น

วิธีที่ 3 นำยาสีฟันที่ไม่มีส่วนผสมฟลูโอไลน์มาแต้มบริเวณหัวสิวจะช่วยให้สิวแห้งเร็ว และลดอาการบวมแดงของสิวได้
แต่ข้อเสียคือ ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ หัวสิวจะแห้งไปด้วย ดังนั้นจึงควรแต้มให้อยู่ภายในบริเวณหัวสิวนะค่ะ

- ถ้าเป็นสิวเยอะ หรือเป็นทั่วใบหน้า ให้ล้างหน้าให้สะอาด ซับให้แห้ง รวบผมเก็บไว้ให้เรียบร้อย
จากนั้นนำสำลีแผ่นชุบไข่ขาวที่เตรียมไว้พอหมาด (สำลีควรเป็นสำลีที่ปราศจากสารเรืองแสงและสี)
วางแปะไว้ให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตา ปาก และรูจมูกรอให้แห้ง ระหว่างนั้นให้ทำหน้านิ่ง ๆ
อย่าพูดคุย หรือยิ้ม เพราะจะทำให้หน้าเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ หลังจากที่สำลีแห้งแล้วค่อยๆ
ลอกออก สิวและจุกด่างดำบนใบหน้าจะหลุดลอกออกมากับแผ่นสำลี จากนั้นล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ
หรือโฟม แล้วใช้น้ำเย็นล้างหน้าอีกทีเพื่อกระชับรูขุมขน เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้วล่ะ
วิธีนี้สามารถทำได้บ่อยครั้ง หรือ สัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย นอกจากจะช่วยรักษาสิว
รอยด่างดำแล้ว ยังลดการเกิดสิวและลดความมันบนใบหน้าได้อีกด้วย

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไปเที่ยว "กรุงปารีสกัลไหม ? ??" ไปเที่ยวกัน 5 55'


หอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, ตูร์แอฟแฟล; อังกฤษ: Eiffel Tower) หอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย

หอไอเฟล เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยตั้งชื่อตาม
สถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลมีความสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) (รวมเสาอากาศสูง 24 เมตร (79 ฟุต)) ซึ่งก็สูงเท่ากับตึก 81 ชั้น

เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ปัจจุบันฟอไอเฟลสูงเป็นอันดับที่ 5 ในประเทศฝรั่งเศสและสูงที่
สุดในกรุงปารีส ซึ่งอันดับสองคือหอมงต์ปาร์นาสส์ (Tour Montparnasse - 210 เมตร หรือ 689 ฟุต) ซึ่งในไม่ช้าจะถูกแทนที่โดยหออาอิกซ์อา (Tour AXA - 225.11 เมตร หรือ 738.36 ฟุต)

หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครสเลอร์ สูง 319 เมตร (1047 ฟุต) น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้น
หอไอเฟลเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดบนพื้นดิน ทุกๆปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทุกประเทศไปเที่ยวชมประมาณถึง 5 ล้านคน และหอไอเฟลได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของปารีส-ฝรั่งเศส


พระราชวังแวร์ซายส์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

พระราชวังแวร์ซายส์ (ภาษาฝรั่งเศส: Château de Versailles) เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย

ประวัติ
เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่
าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น

เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำ
หนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง ภายในพระราชวังมีภาพวาด ภาพแกะสลักซึ่งแสดงให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายสมัยสถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับอเมริกาในปี ค.ศ 1783 แวร์ซายส์ นับเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1789 ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ได้เปลี่ยนสภาพพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และใช้เป็นสถานที่ลงนามในสัญญาสงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมัน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919

นอกจากเครื่องประดับที่เก่าแก่ และสูงค่าแล้ว การจัดสวนก็เป็
นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างดงามยิ่งนัก เพราะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสวยงามมาก โดยเฉพาะตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ส่วนที่เป็นป่าสำหรับล่าสัตว์ปัจจุบันใช้เป็นที่ๆให้ผู้เข้าชมไปเดินเล่น พักผ่อน และมีม้าหินให้นั่งเล่นเป็นระยะๆ

การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎร ชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย "กิโยติน" ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแก่ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมความสวยงาม หากนับเวลาตั้งแต่ก่อสร้างเสร็จ พระราชวังแห่งนี้ก็มีอายุยืนนานถึง 300 ปีเศษ ที่ยังคงความงามอยู่ได้โดยไม่เสื่อมคลาย

พระราชวังแวร์ซายส์ได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้ง
ที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่ประเทศอียิปต์


ประตูชัยฝรั่งเศส กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ประตูชัยฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Arc de triomphe de l'Étoile)

เป็นอนุสรณ์สถานสำคัญแห่งกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกลล์ (Place Charles de Gaulle) หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม จัตุรัสแห่งดวงดาว (Place de l'Étoile) อยู่ทางทิศตะวันตกของชองป์-เซลิเซ่ส์ ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีถึงวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย


ประตูชัยแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "แนวเส้นตรงทางประวัติศาสตร์" (L'Axe historique) ซึ่งเป็นถนนเส้นตรงจากสวนพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ไปยังชานเกรุงปารีส ประตูชัยแห่งนี้ออกแบบโดย ฌอง ชาลแกร็งในปี พ.ศ. 2349 โดยมียุวชนเปลือยชาวฝรั่งเศสกำลังต่อสู้กับทหารเยอรมัน เต็มไปด้วยเคราและใส่เกราะเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นการปลุกใจ และเป็นอนุสรณ์สถานจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1ประตูชัยฝรั่งเศสมีความสูง 49.5 เมตร (165 ฟุต) กว้าง 45 เมตร (148 ฟุต) และลึก 22 เมตร (72 ฟุต) เป็นประตูชัยที่ใหญ่รองเป็นอันดับสองของโลกที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน แบบของประตูชัยฝรั่งเศสนี้ได้แนวความคิดมาจากประตูชัยไตตัส ประตูชัยฝรั่งเศสมีความใหญ่มาก เพราะหลังจากมีการสวนสนามในปรุงปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2462 ชาร์ลส์ โกดฟรัว ได้ขับเครื่องบินนีอูปอร์ต (Nieuport) ผ่านกลางประตูชัยฝรั่งเศสเพื่อเป็นการสดุดีเหล่าทหารอากาศที่ได้เสียชีวิตในสงครามโลก



พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ มีชื่อทางการว่า The Grand Louvre เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสยงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าชม
ในปี พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์คาเปเทียง ซึ่งตัวอาคารเดิมสมัยก่อนได้เคยเป็นพระราชวังหลวง ของราชวงศ์แห่งนี้ ทำให้ในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก เช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ซึ่งเป็นผลงานของลิโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch เป็นต้น พิพิธภัณฑ์ลูฟร์แห่งนี้ ในปี พ.ศ. 2549 ในสร้างสถิติไว้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากที่สุดถึง 8.3 ล้านคน และนอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส


เคล็ดลับผิวสวยหน้าใส ด้วยมะพร้าว :)

มะพร้าวนั้น มีประโยชน์หลายอย่างตั้งแต่ลำต้นจนกระทั่งใบ อีกผลนั้นก็ยังมีประโยชน์ใช้สอยรวมทั้งเป็นอาหารรสเลิศอีกด้วย โดยประโยชน์จากน้ำมะพร้าว นอกจากจะทานอร่อย และหอมหวาน นำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร
หลากหลายทั้งคาวหวานได้แล้ว แล้วยังทำให้เราสวยได้อีกด้วย


มะพร้าวนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด ในน้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ
(Natural Mineral Drink) ที่ดียิ่งเพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียมแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึม
ไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย ดังนั้น หากเรารับประทานน้ำมะพร้าวบ่อยๆไม่เพียงแต่เพิ่มผิวสวยแก่เราแล้วยังได้ประโยชน์
จากสารและแร่ธาตุหลายชนิดอีกด้วย


มะพร้าวมีคุณสมบัติชะลออาการอัลไซเมอร์ การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้
เพราะจากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์นั้น ได้ผลพบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูงซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทองได้ นอกจากนี้แล้วการดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ
และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็นในอนาคต


น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ผิวสวยด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวถือเป็นจุดเด่นที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว
เพราะน้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณให้คุณสาวๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพน้ำมะพร้าวจะทำให้ผิวเปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่มากนั่นเองแร่ธาตุนี้มีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ไม่เพียงเท่านี้ ในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย จึงช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสอีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มี ความเป็นกรดสูงทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกอีกทั้งการดื่มน้ำมะพร้าวของหญิงมีครรถ์สามารถขดไขที่จับตัวทารกได้หลังคลอด ทำให้ผิวทารกมีสุขภาพดีไม่เหี่ยวแห้งง่ายอีกด้วย


ในน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลีย
เนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้อง ร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink)สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีนยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีก ด้วย จึงไม่จำเป็นต้องเสียเงินหาซื้อน้ำเกลือแร่จากร้านค้าทั่วไป วันสบายๆ การออกกำลังกายโดยการวิ่งเหยาะๆ ตอนเช้าและดื่มน้ำเกลือแร่
ลองเปลี่ยนมาเป็นการออกกำลังกายเบาๆ และดื่มน้ำมะพร้าวเย็นๆ แทนก็ดีไม่น้อยเลยทีเดียว



วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Vitamin C น่ารู้~!!




Vitamin C or L-ascorbic acid or L-ascorbate is an essential nutrient for humans and certain other animal species, in which it functions as a vitamin. In living organisms, ascorbate is an anti-oxidant, since it protects the body against oxidative stress. It is also a cofactor in at least eight enzymatic reactions, including several collagen synthesis reactions that cause the most severe symptoms of scurvy when they are dysfunctional. In animals, these reactions are especially important in wound-healing and in preventing bleeding from capillaries.

Ascorbate (anion of ascorbic acid) is required for a range of essential metabolic reactions in all animals and plants. It is made internally by almost all organisms; notable mammalian group exceptions are most or all of the order chiroptera (bats), and one of the two major primatesuborders, the Anthropoidea (Haplorrhini) (tarsiers, monkeys and apes, including human beings). Ascorbic acid is also not synthesized by guinea pigs and some species of birds and fish. All species that do not synthesize ascorbate require it in the diet. Deficiency in this vitamincauses the disease scurvy in humans. It is also widely used as a food additive.

Scurvy has been known since ancient times. People in many parts of the world assumed it was caused by a lack of fresh plant foods. The British Navy started giving sailors lime juice to prevent scurvy in 1795. Ascorbic acid was finally isolated in 1932 and commercially "synthesized" (this included a fermentation step in bacteria) in 1934. The uses and recommended daily intake of vitamin C are matters of on-going debate, with RDI ranging from 45 to 95 mg/day. Proponents of megadosage propose from 200 mg to more than 2000 mg/day. The fraction of vitamin C in the diet that is absorbed and the rate at which the excess is eliminated from the body vary strongly with the dose. Large, randomized clinical trials on the effects of high doses on the general population have not been conducted.

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มาศึกษา "ครัวซอง" กัน

ครัวซอง

ครัวซอง (ฝรั่งเศส: croissant) คือขนมอบชนิดหนึ่งที่กรอบ ชุ่มเนย และโดยทั่วไปจะมีลักษณะโค้งอันเป็นที่มาของชื่อ "croissant" ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสหมายถึง "จันทร์เสี้ยว" บางทีก็ถูกเรียกว่า crescent roll (โรลจันทร์เสี้ยว)

การทำครัวซองค์จะต้องใช้แป้งพายชั้น (puff pastry - พัฟ เพสทรี่) ที่ผสมยีสต์ นำมารีดให้เป็นแผ่น วางชั้นของเนยลงไป พับและรีดให้เป็นแผ่นซ้ำไปมา ตัดเป็นแผ่นสามเหลี่ยม นำไปม้วนจากด้านกว้างไปด้านแหลม บิดปลายให้โค้งเข้าหากัน อบโดยใช้ไฟแรงให้เนยที่แทรกอยู่เป็นชั้นดันแป้งให้ฟูก่อน จึงค่อยลดไฟลงไม่ให้ไหม้

การทำครัวซองเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทักษะและความอดทน ครั้งหนึ่งอาจจะใช้เวลาหลายวัน

ทำนายนิสัย จากรสไอศกรีมที่ชอบ

คนส่วนใหญ่ชอบทานไอศกรีมกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ ลองดูว่า ไอศกรีมที่คุณชอบจะทำนายนิสัยคุณได้ว่าอย่างไร

รสวนิลา
เป็นคนที่ร่าเริง ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย มีความรักใคร่ในศักดิ์ศรีของตน เป็นที่รักของคนทั่วไป


รสกาแฟ
เป็นคนที่ชอบการทำงาน ที่ต้องอาศัยความรับผิดชอบมาก มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง มีลักษณะเป็นผู้นำ เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ก็ต้องทำให้สมบูรณ์กว่าผู้อื่น และเป็นคนที่ชอบการแข่งขัน


รสสตรอเบอร์รี่
เป็นคนที่ชอบทำตัวสบายๆ คบคนง่าย แม้กับคนแปลกหน้า มักมองคนในแง่ดี เป็นคนที่มีความเมตตา ชอบช่วยเหลือ และให้ความรักต่อผู้อื่น


รสช็อคโกแลต
เป็นคนที่ข้องข้างมีจิตใจอ่อนไหว ขี้เหงา ชอบคิดถึงแต่วันคืนในอดีตที่ผ่านมาแล้ว และเป็นคนที่ยึดในขนบธรรมเนียม ประเพณีต่าง ๆ ไว้เป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีวิต


รสช็อคโกแลตชิป
เป็นคนที่ตั้งความหวังในชีวิตไว้สูง มักมองโลกในแง่ดี เป็นคนที่สามารถแก้เรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้เสมอ


รสผสม
เป็นคนที่ชอบความหลากหลาย มีชีวิตยืดหยุ่น ชอบการประนีประนอม


ไม่ชอบกินไอติม
เป็นคนที่รักอิสระเสรี ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองสูง ชอบดำเนินชีวิตอยู่บนความ เป็นเหตุเป็นผล

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ใส่คอนแทคแฟชั่นมีผลอย่างไรต่อดวงตา ?


เตือน! อย่าใส่คอนแทคเลนส์ตามแฟชั่นหวั่นติดเชื้อ จนถึงตา บอด
ชี้ใส่ได้ไม่เกิน 8-12 ชม.ต่อวัน จักษุแพทย์เตือนวัยรุ่นอย่าทดลองใส่คอนแทคเลนส์ตามแฟชั่น หลังหนุ่มนิวซีแลนด์ใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นและติดเชื้อจนตาบอดแนะปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนการเลือกสวมใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิด แยกน้ำยาทำความสะอาดตามขั้นตอนให้ผลดีกว่าใช้น้ำยาประเภท “3 อิน 1” และห้ามใส่คอนแทคเลนส์นอนหลับอย่างเด็ดขาด เสี่ยงติดเชื้อเสียดวงตา
ตาม ที่หนังสือพิมพ์"เดอะ นิวซีแลนด์ เฮอร์รัลด์" อ้างคำเตือนของนายแพทย์ เทเวอร์ เกรย์ จักษุแพทย์เรื่องความเสี่ยงจากการใช้คอนแทคเลนซ์แฟชั่น สำหรับเปลี่ยนสีหรือรูปแบบของดวงตา หลังจากหนุ่มนิวซีแลนด์วัย 24 ปี ซึ่งไม่ได้มีปัญหาเรื่องการมองเห็นจนต้องสวมแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนซ์ ต้องตาบอดไปข้างหนึ่งเพราะสวมใส่เลนซ์ชนิดดังกล่าว เพื่อความสนุกสนานในงานปาร์ตี้ แต่ได้เกิดอาการติดเชื้อหลังสวมใส่เลนซ์อยู่นาน 3 วัน โดยนายแพทย์เกรย์เปิดเผยว่า อาการติดเชื้อได้กัดกินแก้วตาข้างหนึ่งของหนุ่มเคราะห์ร้ายคนนี้ไปจนหมดเหลือแต่ดวงตาสีขาวน่ากลัวเหมือนในนิยายวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันเขาต้องใส่แก้วตาเทียม ซึ่งไม่อาจช่วยในการมองเห็น


นพ. วิชัย ประสาทฤทธา ภาควิชาจักษุวิทยา รพ.รามาธิบดี กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่าโดยปกติแล้วการสวมใส่คอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัส มีโอกาสเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้น้อยมาก หากมีการดูแลรักษาความสะอาดของคอนแทคเลนส์ตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดจากผู้สวมใส่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการ รักษาความสะอาด และสวมใส่คอนแทคเลนส์ในเวลานอนหลับ เพราะการสวมใส่คอนแทคเลนส์นอนหลับจะทำให้ดวงตาได้รับออกซิเจนน้อยลง ออกซิเจนจะไปเลี้ยงกระจกตาได้น้อยกว่าปกติ จึงเกิดการติดเชื้อขึ้น และเนื่องจากเป็นเลนส์สัมผัสทำให้อาการติดเชื้อมีความรุนแรงและลุกลามอย่าง รวดเร็วจนถึงขั้นทำให้ตาบอด

นพ. วิชัย กล่าวอีกว่า สำหรับการสวมใส่คอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมนั้น สามารถสวมใส่ได้ในระยะเวลา 8-12 ชั่วโมงติดต่อกัน โดยหลังจากนั้นต้องดูแลทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ น้ำยาสลายคราบโปรตีน และน้ำยาแช่ฆ่าเชื้อ โดยการแช่ฆ่าเชื้อต้องทำไม่ต่ำกว่าวันละ 4 ชั่วโมงอย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการโฆษณาว่าน้ำยาทำความสะอาดคอนแทคเลนส์บางชนิดมี คุณสมบัติเป็นทั้งน้ำยาล้างทำความสะอาด สลายคราบโปรตีน และแช่ฆ่าเชื้อ ซึ่งประสิทธิภาพของน้ำยาดังกล่าวจะไม่ดีเท่ากับการใช้น้ำยาแยกเฉพาะในการทำ ความสะอาดแต่ละขั้นตอน เป็นเพียงกลยุทธ์การโฆษณาทางการตลาดของผู้ประกอบการเท่านั้นจึงแนะนำให้แยกใช้น้ำยาทำความสะอาดแต่ละขั้นตอน เพื่อยืดอายุการใช้งานคอนแทคเลนส์ และป้องกันการติดเชื้อ โดยคอนแทคเลนส์รายเดือนนั้นมีอายุการสวมใส่ 1- 1 เดือนครึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลทำความสะอาด หากไม่รักษาความสะอาดให้ดีเพียงแค่ 2 สัปดาห์ก็อาจจะมีสิ่งสกปรกตกค้างจนต้องเปลี่ยนคู่ใหม่ แต่หากรักษาความสะอาดเป็นอย่างดีก็จะทำให้อายุการใช้งานนานขึ้นไปด้วย

นพ. วิชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์เป็นประจำ หากมีอาการมองเห็นภาพพร่ามัวเคืองตา ตาแดง ให้เอาคอนแทคเลนส์ออกจากดวงตาและไปพบจักษุแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดอาการติดเชื้อและลุกลามจนถึงขั้นตาบอดได้ นอกจากนี้การเลือกสวมใส่คอนแทคเลนส์ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อน เพราะจักษุแพทย์จะมีความรู้เรื่องความโค้งของกระจกตา กำลังของเลนส์ และลักษณะเฉพาะของตาแต่ละคนที่บางคนอาจมีปริมาณน้ำตาน้อยเสี่ยงต่อเยื่อบุตา อักเสบซึ่งจักษุแพทย์จะได้ให้คำแนะนำที่เหมาะสม
“สำ หรับคอนแทคเลนส์แฟชั่นที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่นในการสวมใส่นั้น แม้ตัวคอนแทคเลนส์จะไม่มีอันตรายใดๆ แต่ผู้สวมใส่ต้องดูแลให้ถูกต้อง และไม่ควรจะทดลองสวมใส่หากไม่มีความจำเป็น เพราะคอนแทคเลนส์ไม่เหมือนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่จะทดลองสวมใส่เปลี่ยนไป ตามแฟชั่น เนื่องจากเป็นสิ่งที่สัมผัสกับดวงตาหากดูแลไม่ดีอาจจะเกิดผลเสียต่อดวงตาตาม มา ที่สำคัญห้ามผู้สวมใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิด ใส่คอนแทคเลนส์นอนหลับอย่างเด็ดขาด”

ผู้ที่ไม่เหมาะสมจะใช้คอนแทคเลนส์
1. ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคภูมิแพ้ โรคไซนัสเพราะจะทำให้ใส่คอนแทคเลนส์ไม่สบายตาและไม่ชัดได้ รวมถึงผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
2. ผู้ที่มีสุขภาพตาไม่ดี เช่น เป็นต้อลม ต้อเนื้อ ตาแดง กระจกตาไม่ไวต่อความรู้สึก ตาแห้งกะพริบตาครึ่งตา 3.ผู้ที่ทำงานที่มีมลภาวะ อาทิ ฝุ่นละอองมาก ลมพัดแรง ไอระเหยสารเคมี มีความร้อนสูง มีควันบุหรี่หรือควันพิษ มลภาวะดังกล่าวจะทำให้ความสบายตาลดลงขณะใส่คอนแทคเลนส์หรือคอนแทคเลนส์อายุการใช้งานสั้นลง เป็นต้น
3. ผู้ที่อายุไม่เหมาะสม เพราะคอนแทคเลนส์จะเน้นเรื่องการดูแลรักษาทำความสะอาดดังนั้นผู้ใช้จะต้องเข้าใจการใช้งานและข้อควรระวังในการใช้งานเป็นอย่างดี
ข้อควรปฏิบัติในการใช้คอนแทคเลนส์ที่ถูกอนามัย
1.ปฏิบัติตามขั้นตอนการดูแลทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ที่จักษุแพทย์แนะนำหรือที่ระบุไว้ในเอกสารที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด
2.ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อสำหรับคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสม (น้ำเกลือและน้ำตาเทียมไม่ใช่ผลิตภัณฑ์สำหรับฆ่าเชื้อ)
3.ไม่ควรนำน้ำยาที่ใช้แล้วมาใช้อีกครั้ง และควรซื้อจากร้านค้าที่ไว้ใจได้ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีมาตรฐานและคุณภาพสูง

วิจัยผลไม้ไทย ต้านโรคมะเร็ง


เมื่อวันที่ 20 ม.ค. นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดมาจากพฤติกรรมการกินการอยู่มากขึ้น ข้อมูลการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศบ่งชี้ว่า ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น เกี่ยวข้อง กับสารที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ โดยอนุมูลอิสระดังกล่าว สามารถทำปฏิกิริยาโยงใยในร่างกายได้มากมาย ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะโรคมะเร็งและโรคหัวใจนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก



สำหรับคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว จากปี 2540 เสียชีวิต 26,237 คน เป็น 52,062 คน ในปี 2549 เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 ราย เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดปีละ 34,000 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 4 ราย โดยอนุมูลอิสระนี้ มาจากภายนอกและภายใน ร่างกาย ได้แก่ มลพิษในอากาศจาก ควันบุหรี่ แสงแดด รังสีแกมมา คลื่นความร้อน ส่วนที่มาจากภายในร่างกายเกิดจากกระบวนการเผาผลาญของออกซิเจนภายในเซลล์ หรือเกิดจากย่อยทำลายเชื้อแบคทีเรียของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ก็ทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้


ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวด้วยว่า จากการวิจัยดังกล่าวพบว่า มีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน สารทั้ง 3 ตัวนี้ สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ จะทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ ส่วนวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์


ซึ่งมีในอาหารธรรมชาติประมาณ 600 กว่าชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตาเนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดี


ทั้งนี้ สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ มีมากในผักผลไม้หลายชนิด โดยเฉพาะที่มีสีเขียว แดง แสด และเหลือง เช่น ผักใบสีเขียวเข้ม ได้แก่ ผักขม ผักคะน้า ผักตำลึง ผักบุ้ง ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ มะม่วงสุก มะละกอสุก เป็นต้น วิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน และมีมากในน้ำมันพืชทั่วไป เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น ในผักและผลไม้มีวิตามินอีค่อนข้างน้อย ส่วนวิตามินซีมีมากในผักและผลไม้สดทั่วไป


ด้าน นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการที่กรมอนามัยทำการศึกษาผลไม้ ที่มีบริโภคในประเทศไทย 83 ชนิด ในปริมาณส่วนที่รับประทาน 100 กรัม พบว่า ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 873 ไมโครกรัม รองลงมา ได้แก่ มะเขือเทศราชินี 639 ไมโครกรัม มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม แคนตาลูปเหลือง 217 ไมโครกรัม มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม มะยงชิด 207 ไมโครกรัม สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม แตงโม 122 ไมโครกรัม ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม และลูกพลับ 93 ไมโครกรัม


สำหรับผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม และสตรอเบอร์รี่มี 0.54 มิลลิกรัม


ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม สตรอเบอร์รี่ 66 มิลลิกรัม มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม พุทราแอปเปิ้ล 47 มิลลิกรัม และส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม และจากการศึกษากล้วยต่างๆ 24 สายพันธุ์ พบว่า กล้วยไข่พม่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงสุด 528 ไมโครกรัม รองลงมาคือ กล้วยงาช้าง 520 ไมโครกรัม กล้วยไข่โนนสูง 397 ไมโครกรัม กล้วยนางพญา 393 ไมโครกรัม กล้วยไข่ 271 ไมโครกรัม และกล้วยหักมุกนวล 270 ไมโครกรัม


อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า ปกติเราจะได้รับสารอาหารทั้ง 3 ชนิดจากการรับประทานอาหารโดยทั่วไปน้อย เพราะถูกทำลายได้ง่ายจากความร้อน จึงต้องเพิ่มการรับประทานผลไม้และผักสดด้วย โดยแนะนำให้รับประทานอาหารให้หลากหลายชนิดและให้ได้สัดส่วนตามธงโภชนาการ โดยใน 1 วัน คนเราควรบริโภคผลไม้ ให้ได้วันละ 4 ส่วน โดย 1 ส่วนของผลไม้ หากเป็นผลไม้ขนาดเล็ก เช่น องุ่น ลิ้นจี่ ลำไย เท่ากับ 6-8 ผล, ผลไม้ขนาดกลาง เช่น ส้ม ชมพู่ กล้วย น้อยหน่า เท่ากับ 1-2 ผล


ส่วนผลไม้ขนาดใหญ่เช่น แตงโม สับปะรด มะละกอ จะเท่ากับ 6-8 ชิ้นพอคำ อย่างไรก็ดี ในกลุ่มที่ต้องคุมปริมาณน้ำตาล โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวาน อาจต้องเลือกผลไม้ที่รสไม่หวาน ในอเมริกาได้แนะนำให้ผู้ชายบริโภคแคโรทีนอยด์วันละ 6 มิลลิกรัม ในคนไทยแนะนำให้บริโภควิตามินอีวันละ 6-15 มิลลิกรัม และวิตามินซีวันละ 40-90 มิลลิกรัม

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อยากกินมันแกวๆ มาทางนี้ ฮ่าๆ^^


มันแกว (Jícama) เป็นพืชตระกูลถั่ว มีชื่อทวินามว่า "Pachyrhizus erosus (L.) Urbar" ลักษณะต้นเป็นเถาเลื้อย หัวอวบใหญ่ โคนตันเนื้อแข็ง ใบประกอบด้วย 3 ใบย่อยมีจักใหญ่ ดอกมีสีขาวหรือชมพูเป็นช่อ เมล็ดมีสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีแดงลักษณะสี่เหลี่ยมจตุรัสแบน โดยต้นมันแกว 1 ต้นมีเพียงหัวเดียว ส่วนที่ใช้รับประทานคือส่วนของรากแก้ว

มันแกวเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในหลายพื้นที่เช่นในแถบอเมริกากลาง แอฟริกาตะวันออก และในประเทศแถบทวีปเอเชียคือ ฟิลิปปนส์ อินเดีย จีน อินโดจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ในประเทศไทยมันแถวมีอยู่ 2 ชนิดคือ พันธุ์หัวใหญ่ และพันธุ์หัวเล็ก อาจจะมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาคได้แก่ ภาคใต้เรียกว่า "หัวแปะกัวะ" ภาคเหนือเรียกว่า "มันละแวก" "มันลาว" ส่วนภาคอีสานเรียกว่า "มันเพา" นอกจากนี้ยังอาจเรียกด้วยชื่ออื่นๆ เช่น "เครือเขาขน" "ถั้วบ้ง" และ"ถั่วกินหัว"

ส่วนหัวของมันแกว (รากแก้ว) เป็นส่วนที่ใช้รับประทาน ลักษณะภายนอกมีสีน้ำตาลอ่อนภายในมีสีขาว เมื่อเคี้ยว รู้สึกกรอบคล้ายลูกสาลี่สด อีกทั้งยังมีรสคล้ายแป้งแต่ออกหวาน โดยทั่วไปจะรับประทานสดๆ หรือจิ้มกับพริกเกลือ แล้วยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้ทั้งคาวและหวานอีกด้วย เช่น แกงส้ม แกงป่า ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดไข่ เป็นส่วนผสมของไส้ซาลาเปา และทับทิบกรอบ

แต่ในทางกลับกัน ต้นมันแกวสามารถใช้เป็นยากำจัดศัตรูพืช โดยใช้ส่วนของเมล็ด ฝักแก่ ลำต้น และราก แต่ส่วนเมล็ดจะมีสารพิษมากที่สุด ทำให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงดีที่สุด นอกจากนั้นถ้ามนุษย์รับประทานเมล็ดเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณมาก สารพิษ Routinone จะกระตุ้นระบบหายใจ แล้วกดการหายใจ ชัก และอาจเสียชีวิตได้

คุณค่าทางอาหารของมันแกวนั้นประกอบด้วยน้ำ 90.5% โปรตีน 0.9% คาร์โบไฮเดรต 7.6% ไม่มีเส้นใยอาหาร โดยรสหวานนั้นมาจาก oligofructose inulin ซึ่งในร่างกายของมนุษย์ ไม่สามารถเผาผลาญได้ ดังนั้นมันแกวจึงเหมาะสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ควบคุมน้ำหนัก

มันแกวควรเก็บในที่แห้ง อุณหภูมิระหว่าง 12 - 16 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านี้จะทำให้ส่วนรากช้ำได้ ถ้าเก็บรักษาถูกวิธีสามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 เดือน

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โอ๊ยย...ปวดฟัน!!!..แต่ยังไม่อยากถอนฟันทำไงดี ??..

มักมีคำถามว่า "ถ้าปวดฟัน แต่ไม่อยากถอนฟันจะทำอย่างไรดี??" แล้วถ้าถามว่า "ทำไมฟันนั้นมันปวด?" ก็ต้องตอบว่า "เพราะฟันนั้นมันผุ" แล้วถามว่า "ทำไมฟันนั้นจึงผุ? "ก็ตอบ "เพราะฝนนั้นมันตก ไม่ช่าย..." งั้นเราไปติดตามรายละเอียดกันดีกว่าค่ะว่าจะทำยังไงต่อดี


ฟันผุ คืออะไร? ทำไมฟันจึงผุ ? ฟันผุเกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อแข็งของฟัน ได้แก่ เคลือบฟัน เนื้อฟัน หรือเคลือบรากฟัน ในสภาวะปกติในช่องปากจะมีกระบวนการแลกเปลี่ยนแร่ธาตุ แคลเซี่ยมกับฟอสฟอรัสในชั้นผิวเคลือบฟัน กับ แคลเซี่ยมกับฟอสฟอรัสในน้ำลาย เกิดขึ้นตลอดเวลาอย่างสมดุล แต่ในภาวะที่จุลินทรีย์มีการย่อยสลายอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่ติดอยู่ตามซอกฟัน ก็จะเปลี่ยนให้สภาพแวดล้อมของน้ำลายกลายเป็นกรด มีผลให้กระบวนการแลกเปลี่ยนแร่ธาตุเหล่านั้นเสียความสมดุลได้ โดยฟันจะสูญเสียแคลเซี่ยมกับฟอสฟอรัสให้กับสภาพแวดล้อมมากกว่าการได้รับกลับคืน กระบวนการนี้หากเกิดขึ้นบ่อยๆอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้เกิดฟันผุค่ะ

การป้องกันฟันผุ ก็ต้องดูเเลอนามัยในช่องปากให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ วิธีง่ายๆ ก็คือการแปรงฟัน ด้วยยาสีฟันทั่วไปครั้งละประมาณ 2 นาทีค่ะ หากแปรงฟันก็แล้วทำไมใครๆ จึงมักจะฟันผุอีก นั้นก็ต้องลองพิจารณาดูนะคะว่าแปรงฟันนานพอไหม? แปรงฟันผ่านๆถูไปและถูมาแค่ 2 วินาที พอได้กลิ่นยาสีฟันหรือเปล่า?? ทุกท่านควรพยายามฝึกใช้แปรงสีฟันขนอ่อนนุ่มแล้วแปรงฟันให้นานขึ้น ทุกซอกทุกมุม วันละอย่างน้อย 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันช่วยในการทำความสะอาดซอกฟันด้วยทุกครั้ง และควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันทุก 6 เดือนด้วยนะคะ

แต่เมื่อมีฟันบางซี่ฟันผุแล้ว ก็ไม่ต้องตกใจนะคะ รักษาตามอาการกันต่อไปได้ ไม่มีปัญหาค่ะ เมื่อเริ่มฟันผุมักจะเกิดอาการเสียวฟันก่อนค่ะ เสียวไปนานๆ ก็จะปวดฟันได้ หากรู้สึกเสียวฟันต้องเริ่มต้นแก้อาการเสียวฟันก่อนนะคะ หากเสียวฟันโดยที่ตัวฟันยังไม่มีรอยผุ ยาสีฟันที่โฆษณาว่าช่วยลดอาการเสียวฟันก็ช่วยได้บ้าง แต่ต้องใช้อย่างต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์นะคะแต่ถ้าเสียวฟันไม่หายเสียทีก็ต้องลองไปตรวจฟันดูค่ะ หากเสียวฟันบริเวณคอฟันอาจเป็นเพราะฟันสึก หรือมีรอยผุ ก็รักษาโดยการอุดฟันเพื่อป้องกันฟันสึกหรือฟันผุลุกลาม จะค่อยๆ ช่วยลดอาการเสียวฟันได้ค่ะ แต่หากอุดฟันแล้วยังมีอาการปวดเพิ่งขึ้น นอกจากจะไม่หายเสียวฟันแล้ว ยังกลับปวดฟันหนักกว่าเดิมอีก แสดงว่ามีเชื้อโรคเข้าไปในโพรงประสาทฟันแล้วล่ะค่ะ

ฟันคนเราจะมีโพรงประสาทฟันอยู่ตรงกลางเหมือนไส้ apple ค่ะ ถ้าเชื้อโรคมากับน้ำลายเล็ดลอดตามรอยผุเล็กๆที่เรามองไม่เห็น แอบเข้าไปติดเชื้อในรากฟัน ก็จะทำให้รากฟันอักเสบ มีอาการปวดฟันได้ค่ะ

เมื่อฟันมีอาการปวดหนักถึงขั้นนี้แล้ว ก็ถึงทางเลือก 2 ทาง คือจะถอนฟัน หรือจะรักษารากฟันเพื่อเก็บฟันไว้ใช้ต่อไปเท่านั้นล่ะค่ะ ถ้าตัดสินใจถอนฟัน ก็ทำใจไว้ล่วงหน้าว่าบริเวณที่ถอนไปต่อไปจะกลายเป็นเหงือกโล่งๆ รอวันใส่ฟันต่อไป คงต้องคิดหนักนิ๊ดนึงในการถอนฟันด้านหน้านะคะ เวลายิ้มฟันหลอเเย่เลย...ถ้าตัดสินใจเก็บฟันไว้ ก็ต้องรักษารากฟันค่ะ กระบวนการขั้นตอนในการรักษารากฟันนั้น ย่อมใช้เวลารักษามากมายหลายครั้ง และแน่นอน ค่าใช้จ่ายมากกว่าถอนฟันอย่างแน่นอนค่ะ ตรงนี้ก็ต้องพูดจาพาทีกับทันตแพทย์ผู้รักษากันให้เข้าใจว่า ต้องรักษากี่ครั้ง แต่ละครั้งแบ่งค่าใช้จ่ายได้ครั้งละเท่าไหร่ ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไรบ้าง

การรักษารากฟันจำเป็นต้องมีการ X-ray ฟันประกอบการรักษารากฟันในแต่ละครั้งด้วยนะคะ และขั้นตอนรักษารากฟันคร่าวๆ มีดังต่อไปนี้ค่ะ

ในแต่ละขั้นตอนที่ทำการรักษา ต้องฉีดยาชาเพื่อไม่ให้เจ็บมากค่ะ แต่หลังจากยาชาหมดฤทธิ์แล้ว คนไข้อาจรู้สึกปวด ระบมได้ เล็กน้อย ในช่วง 2-3 วันแรก ดังนั้นภายหลังการรักษารากฟัน ก็ทานยาแก้ปวดไปก่อนค่ะ แต่หลังจากเสร็จการรักษาทุกขั้นทุกตอนและไม่มีความผิดปกติใดๆ ระหว่างการรักษา อาการปวดฟันควรจะหายไปจนสามารถใช้ฟันเคี้ยวอาหารได้อย่างเป็นปกติค่ะ เพราะการรักษารากฟันคือการกำจัดประสาทฟันอักเสบที่เป็นสาเหตุของอาการปวดฟันออกไปแล้วนี

ภายหลังรักษารากฟันเสร็จแล้ว ควรมีการรักษาต่อด้วยการครอบฟัน เพื่อรักษาเนื้อฟันให้คงทนแข็งแรง และสามารถใช้งานได้นานๆต่อไปด้วยค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่ารักษารากฟัน ครอบฟันแล้ว ฟันจะอยู่ได้ตลอดกาล ไม่เป็นอะไรเลย ไม่ใช่นะคะ เรารับประทานอาหารทุกวัน วันละหลายมื้อค่ะ ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดี ฟันก็ผุซ้ำได้ ปวดฟัน เป็นหนองได้อีกค่ะ ดังนั้นจึงควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันทุก 6 เดือน

สารพัดประโยชน์จากมะเขือเทศ Tomato


สารไลโคฟีน (Lycopene) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid)

ที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และช่วยในการป้องกันการเสื่อสภาพของเซลล์ในร่างกาย สารไลโคฟีนนี้มีประสิทธิภาพเหนือว่าสารเบต้าเคโรทีน และสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อื่น ๆ ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่มดลูกและปอด ยังพบอีกว่าสารไลโคฟีนนั้นสามารถช่วยลดโอกาสความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากได้มากถึง 21% อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมในตำรับยาที่ใช้ป้องกันอันตรายอันเกิดจากการผลิตอนุมูลอิสระที่ผิดปกติ สารไลโคฟีนนี้จะพบมากในมะเขือเทศแดงสด แตงโม และฝรั่งขี้นกที่มีเนื้อสีชมพูอมแดง เป็นต้น


การรับประทานมะเขือเทศเพียงวันละ 1-2 ลูกจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เป็นต้นว่า ช่วยต้านโรคความดันโลหิตสูง บำรุงดวงตา และสายตา บำบัดอาการปัสสาวะขัด บำรุงเหงือกและฟัน ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว เยียวยาโรคเลือดออกตามไรฟัน ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ คุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แก้ท้องผูก และบำรุงผิวพรรณ และหากใช้มะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ หรือน้ำคั้นจากผลสดทาหน้า ช่วยทำให้ผิวหน้าตึง มีน้ำมีนวล

การรับประทานมะเขือเทศดิบ จะมีผลร้ายแรงเพราะจะมีสารที่ออกฤทธิ์รุนแรง จัดเป็นสารพิษ Steroidal alkaloid ในมะเขือเทศ คือ a-tomatine ซึ่งได้จากใบและส่วนเหนือดิน ในผลสีเขียวจะมี alkaloid 0.03% ในผลสุกไม่พบ alkaloid คุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของ Steroidal alkaloid คือ ทำปฏิกิริยากับสเตียรอลที่เซลล์ผิวเป็นผลให้เม็ดเลือดแดงแตก ทำให้ผิวหนังและเนื้อบุผิวระคายเคืองอย่างแรง มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รา และใช้เป็นยาฆ่าแมลงมีคุณสมบัติยับยั้งเอมไซม์โคลีนเอสเตอเรส กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและต่อมาจะทำให้เป็นอัมพาต หากรับประทานในขนาดที่จะทำให้เกิดพิษจะระคายเคืองทางเดินอาหารอย่างแรง

มะเขือเทศเป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณ
วิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล มะเขือเทศผลหนึ่งจะมีวิตามินเอราว 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน
นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตูอื่นๆ อีกหลายชนิด
มะเขือเทศมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมีวิตามิน P (citrin) ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด

มะเขือเทศยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง มะเขือเทศมีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตาได้
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย

ช่วยบำรุงผิวลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น และยังสามารถต้านมะเร็งได้ด้วย
มะเขือเทศยังมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อราได้

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีกำจัดสิวให้หน้าใส

วิธีกำจัดสิวให้หมดไปได้หน้าใสกลับคืนมา

วิธีกำจัดสิวให้หมดไปได้หน้าใสกลับคืนม
- ถ้าเป็นสิวเฉพาะจุด หรือเป็นสิวเล็กน้อยไม่กี่เม็ด ก็รักษาเฉพาะจุดก็ได้โดย

วิธีที่ 1 การนำไข่ขาวมาแต้มตรงหัวสิวก่อนนอนทิ้งไว้ทั้งคืนทำทุกวันจนกว่าสิวจะยุบหายไป
วิธีนี้จะทำให้สิวยุบตัวได้ภายใน 3 วัน และไม่ทิ้งรอยดำไว้ให้รำคาญใจด้วย

วิธีที่ 2 ตัดเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ปิดไว้บริเวณหัวสิวแล้วใช้ผ้าก๊อชปิดทับอีกทีก่อนเข้านอน
จะช่วยให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น

วิธีที่ 3 นำยาสีฟันที่ไม่มีส่วนผสมฟลูโอไลน์มาแต้มบริเวณหัวสิวจะช่วยให้สิวแห้งเร็ว และลดอาการบวมแดงของสิวได้
แต่ข้อเสียคือ ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ หัวสิวจะแห้งไปด้วย ดังนั้นจึงควรแต้มให้อยู่ภายในบริเวณหัวสิวนะค่ะ

- ถ้าเป็นสิวเยอะ หรือเป็นทั่วใบหน้า ให้ล้างหน้าให้สะอาด ซับให้แห้ง รวบผมเก็บไว้ให้เรียบร้อย
จากนั้นนำสำลีแผ่นชุบไข่ขาวที่เตรียมไว้พอหมาด (สำลีควรเป็นสำลีที่ปราศจากสารเรืองแสงและสี)
วางแปะไว้ให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตา ปาก และรูจมูกรอให้แห้ง ระหว่างนั้นให้ทำหน้านิ่ง ๆ
อย่าพูดคุย หรือยิ้ม เพราะจะทำให้หน้าเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ หลังจากที่สำลีแห้งแล้วค่อยๆ
ลอกออก สิวและจุกด่างดำบนใบหน้าจะหลุดลอกออกมากับแผ่นสำลี จากนั้นล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ
หรือโฟม แล้วใช้น้ำเย็นล้างหน้าอีกทีเพื่อกระชับรูขุมขน เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้วล่ะ
วิธีนี้สามารถทำได้บ่อยครั้ง หรือ สัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย นอกจากจะช่วยรักษาสิว
รอยด่างดำแล้ว ยังลดการเกิดสิวและลดความมันบนใบหน้าได้อีกด้วย

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไปเที่ยว "กรุงปารีสกัลไหม ? ??" ไปเที่ยวกัน 5 55'


หอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, ตูร์แอฟแฟล; อังกฤษ: Eiffel Tower) หอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย

หอไอเฟล เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยตั้งชื่อตาม
สถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลมีความสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) (รวมเสาอากาศสูง 24 เมตร (79 ฟุต)) ซึ่งก็สูงเท่ากับตึก 81 ชั้น

เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ปัจจุบันฟอไอเฟลสูงเป็นอันดับที่ 5 ในประเทศฝรั่งเศสและสูงที่
สุดในกรุงปารีส ซึ่งอันดับสองคือหอมงต์ปาร์นาสส์ (Tour Montparnasse - 210 เมตร หรือ 689 ฟุต) ซึ่งในไม่ช้าจะถูกแทนที่โดยหออาอิกซ์อา (Tour AXA - 225.11 เมตร หรือ 738.36 ฟุต)

หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครสเลอร์ สูง 319 เมตร (1047 ฟุต) น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้น
หอไอเฟลเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดบนพื้นดิน ทุกๆปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทุกประเทศไปเที่ยวชมประมาณถึง 5 ล้านคน และหอไอเฟลได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของปารีส-ฝรั่งเศส


พระราชวังแวร์ซายส์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

พระราชวังแวร์ซายส์ (ภาษาฝรั่งเศส: Château de Versailles) เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย

ประวัติ
เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่
าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น

เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำ
หนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง ภายในพระราชวังมีภาพวาด ภาพแกะสลักซึ่งแสดงให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายสมัยสถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับอเมริกาในปี ค.ศ 1783 แวร์ซายส์ นับเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1789 ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ได้เปลี่ยนสภาพพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และใช้เป็นสถานที่ลงนามในสัญญาสงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมัน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919

นอกจากเครื่องประดับที่เก่าแก่ และสูงค่าแล้ว การจัดสวนก็เป็
นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างดงามยิ่งนัก เพราะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสวยงามมาก โดยเฉพาะตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ส่วนที่เป็นป่าสำหรับล่าสัตว์ปัจจุบันใช้เป็นที่ๆให้ผู้เข้าชมไปเดินเล่น พักผ่อน และมีม้าหินให้นั่งเล่นเป็นระยะๆ

การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎร ชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย "กิโยติน" ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแก่ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมความสวยงาม หากนับเวลาตั้งแต่ก่อสร้างเสร็จ พระราชวังแห่งนี้ก็มีอายุยืนนานถึง 300 ปีเศษ ที่ยังคงความงามอยู่ได้โดยไม่เสื่อมคลาย

พระราชวังแวร์ซายส์ได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้ง
ที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่ประเทศอียิปต์


ประตูชัยฝรั่งเศส กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ประตูชัยฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Arc de triomphe de l'Étoile)

เป็นอนุสรณ์สถานสำคัญแห่งกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกลล์ (Place Charles de Gaulle) หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม จัตุรัสแห่งดวงดาว (Place de l'Étoile) อยู่ทางทิศตะวันตกของชองป์-เซลิเซ่ส์ ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีถึงวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย


ประตูชัยแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "แนวเส้นตรงทางประวัติศาสตร์" (L'Axe historique) ซึ่งเป็นถนนเส้นตรงจากสวนพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ไปยังชานเกรุงปารีส ประตูชัยแห่งนี้ออกแบบโดย ฌอง ชาลแกร็งในปี พ.ศ. 2349 โดยมียุวชนเปลือยชาวฝรั่งเศสกำลังต่อสู้กับทหารเยอรมัน เต็มไปด้วยเคราและใส่เกราะเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นการปลุกใจ และเป็นอนุสรณ์สถานจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1ประตูชัยฝรั่งเศสมีความสูง 49.5 เมตร (165 ฟุต) กว้าง 45 เมตร (148 ฟุต) และลึก 22 เมตร (72 ฟุต) เป็นประตูชัยที่ใหญ่รองเป็นอันดับสองของโลกที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน แบบของประตูชัยฝรั่งเศสนี้ได้แนวความคิดมาจากประตูชัยไตตัส ประตูชัยฝรั่งเศสมีความใหญ่มาก เพราะหลังจากมีการสวนสนามในปรุงปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2462 ชาร์ลส์ โกดฟรัว ได้ขับเครื่องบินนีอูปอร์ต (Nieuport) ผ่านกลางประตูชัยฝรั่งเศสเพื่อเป็นการสดุดีเหล่าทหารอากาศที่ได้เสียชีวิตในสงครามโลก



พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ มีชื่อทางการว่า The Grand Louvre เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสยงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าชม
ในปี พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์คาเปเทียง ซึ่งตัวอาคารเดิมสมัยก่อนได้เคยเป็นพระราชวังหลวง ของราชวงศ์แห่งนี้ ทำให้ในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก เช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ซึ่งเป็นผลงานของลิโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch เป็นต้น พิพิธภัณฑ์ลูฟร์แห่งนี้ ในปี พ.ศ. 2549 ในสร้างสถิติไว้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากที่สุดถึง 8.3 ล้านคน และนอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส


เคล็ดลับผิวสวยหน้าใส ด้วยมะพร้าว :)

มะพร้าวนั้น มีประโยชน์หลายอย่างตั้งแต่ลำต้นจนกระทั่งใบ อีกผลนั้นก็ยังมีประโยชน์ใช้สอยรวมทั้งเป็นอาหารรสเลิศอีกด้วย โดยประโยชน์จากน้ำมะพร้าว นอกจากจะทานอร่อย และหอมหวาน นำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร
หลากหลายทั้งคาวหวานได้แล้ว แล้วยังทำให้เราสวยได้อีกด้วย


มะพร้าวนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด ในน้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ
(Natural Mineral Drink) ที่ดียิ่งเพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียมแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึม
ไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย ดังนั้น หากเรารับประทานน้ำมะพร้าวบ่อยๆไม่เพียงแต่เพิ่มผิวสวยแก่เราแล้วยังได้ประโยชน์
จากสารและแร่ธาตุหลายชนิดอีกด้วย


มะพร้าวมีคุณสมบัติชะลออาการอัลไซเมอร์ การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้
เพราะจากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์นั้น ได้ผลพบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูงซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทองได้ นอกจากนี้แล้วการดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ
และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็นในอนาคต


น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ผิวสวยด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวถือเป็นจุดเด่นที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว
เพราะน้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณให้คุณสาวๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพน้ำมะพร้าวจะทำให้ผิวเปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่มากนั่นเองแร่ธาตุนี้มีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ไม่เพียงเท่านี้ ในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย จึงช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสอีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มี ความเป็นกรดสูงทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกอีกทั้งการดื่มน้ำมะพร้าวของหญิงมีครรถ์สามารถขดไขที่จับตัวทารกได้หลังคลอด ทำให้ผิวทารกมีสุขภาพดีไม่เหี่ยวแห้งง่ายอีกด้วย


ในน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลีย
เนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้อง ร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink)สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีนยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีก ด้วย จึงไม่จำเป็นต้องเสียเงินหาซื้อน้ำเกลือแร่จากร้านค้าทั่วไป วันสบายๆ การออกกำลังกายโดยการวิ่งเหยาะๆ ตอนเช้าและดื่มน้ำเกลือแร่
ลองเปลี่ยนมาเป็นการออกกำลังกายเบาๆ และดื่มน้ำมะพร้าวเย็นๆ แทนก็ดีไม่น้อยเลยทีเดียว



วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Vitamin C น่ารู้~!!




Vitamin C or L-ascorbic acid or L-ascorbate is an essential nutrient for humans and certain other animal species, in which it functions as a vitamin. In living organisms, ascorbate is an anti-oxidant, since it protects the body against oxidative stress. It is also a cofactor in at least eight enzymatic reactions, including several collagen synthesis reactions that cause the most severe symptoms of scurvy when they are dysfunctional. In animals, these reactions are especially important in wound-healing and in preventing bleeding from capillaries.

Ascorbate (anion of ascorbic acid) is required for a range of essential metabolic reactions in all animals and plants. It is made internally by almost all organisms; notable mammalian group exceptions are most or all of the order chiroptera (bats), and one of the two major primatesuborders, the Anthropoidea (Haplorrhini) (tarsiers, monkeys and apes, including human beings). Ascorbic acid is also not synthesized by guinea pigs and some species of birds and fish. All species that do not synthesize ascorbate require it in the diet. Deficiency in this vitamincauses the disease scurvy in humans. It is also widely used as a food additive.

Scurvy has been known since ancient times. People in many parts of the world assumed it was caused by a lack of fresh plant foods. The British Navy started giving sailors lime juice to prevent scurvy in 1795. Ascorbic acid was finally isolated in 1932 and commercially "synthesized" (this included a fermentation step in bacteria) in 1934. The uses and recommended daily intake of vitamin C are matters of on-going debate, with RDI ranging from 45 to 95 mg/day. Proponents of megadosage propose from 200 mg to more than 2000 mg/day. The fraction of vitamin C in the diet that is absorbed and the rate at which the excess is eliminated from the body vary strongly with the dose. Large, randomized clinical trials on the effects of high doses on the general population have not been conducted.