วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วิธีการสร้างสมาธิแบบเดิมๆ เช่น การนั่งสมาธิ การฟังเพลง น้องๆ อาจจะรู้อยู่แล้ว ดังนั้น เคล็ดลับของพี่มิ้นท์วันนี้ จึงเอาวิธีสร้างสมาธิด้วยสารพัดกลิ่นมาบอกต่อน้องๆ รับรองว่าเจ๋งจริงอะไรจริง สมาธิบรรเจิด แถมได้อยู่กับกลิ่นหอมๆ ด้วย โรแมนติกได้อีกอะ^^

ในทางตรงกันข้าม บางกลิ่นที่หอมๆ ก็ประโยชน์ต่อร่างกาย สรรพคุณของมัน จะช่วยสร้างสมาธิ ทำให้สมองผ่อนคลาย รู้สึกมีความสุข เจ้าสิ่งพวกนี้ คือ น้ำมันหอมระเหยนั่นเอง และพี่มิ้นท์ ก็กำลังจะพาน้องๆ มารู้จักกับ "กลิ่น" ที่มีพลังวิเศษ ช่วยให้ผ่อนคลาย อ่านหนังสือรู้เรื่องอย่างไม่รู้ตัว

"กลิ่น" ไหนบ้าง ที่มีประโยชน์

1) กลิ่นลาเวนเดอร์ ช่วยลดความเครียด ลดอาการปวดหัว ถ้าอ่านหนังสือแล้วรู้สึกมึนๆ ปวดหัว ก็ลองหากลิ่นนี้มาใช้ดู เพราะคุณสมบัติของกลิ่นนี้จะกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท สามารถลดความกังวลและความตื่นเต้นได้ จะรู้สึกสงบลง ถ้าจะออกไปรายงานหน้าห้อง ลองพกกลิ่นนี้ไว้ด้วยก็ได้นะ เผื่อจะหายตื่นเต้น ฮ่าๆ แต่อย่าเผลอเอายากันยุง กลิ่นลาเวนเดอร์มาจุดล่ะ อันนี้น่าจะมึนหัวกว่าเดิม





2) กลิ่นโรสแมรี่ ช่วยให้สดชื่น แจ่มใส แก้ง่วง ช่วยให้ระบบการหมุนเวียนเลือดในสมองดีขึ้น เป็นประโยชน์โดยตรงสำหรับสมอง ที่จะทำให้รับรู้และจดจำแม่นขึ้น อยากสร้างสมาธิให้จำแม่นขึ้น ต้องลองหากินนี้มาใช้นะ
3) กลิ่นซีตรัส แบบอ่อนๆ เช่น กลิ่นมะนาว เลมอน หรือกลิ่นพวกเกรปฟรุตต่างๆ จะให้ความรู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง เพราะลักษณะของกลิ่นจะให้ความรู้สึกสะอาด ๆ สร้างสมาธิได้ดีเหมือนกัน นอกจากนี้ยังคลายเครียดได้อีกด้วย
4) กลิ่นมินต์ (ไม่ใช่กลิ่นพี่มิ้นท์นะ อิอิ) ช่วยให้รู้สึกมีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า อยากอ่านหนังสือ เพราะโมเลกุลของมินต์มีผลต่อการสื่อสารของเซลล์ประสาท จึงเพิ่มพลังสมองได้ และยังมีสรรพคุณคล้ายๆ โรสแมรี่ คือช่วยให้ความจำดีขึ้นได้ด้วย
5) กลิ่นคาโมมายล์ ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง แจ่มใส มีสมาธิ ลดความเครียดได้เหมือนกัน

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สุขภาพดีง่ายๆด้วยการกิน

การรักษาสุขภาพ และการเอาใจใส่เรื่องการบริโภค ไม่เพียงแต่ทำให้รูปร่างดีเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ทำให้คุณเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างง่ายดาย และยังทำให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน ทั้งนี้การป่วยด้วยโรคต่างๆ มีส่วนมาจากการเลือกรับประทานอาหารด้วยเช่นกัน นอกจากนี้หากมีการออกกำลังควบคู่ไปด้วยยิ่งส่งผลให้ทั้งสุขภาพและรูปร่างของ คุณดูดีอยู่เสมอ

นี่คือหลักการง่ายๆของการรับประทานอาหารเพื่อการมีสุขภาพที่ดี

พึงระวังโรคที่มากับความเค็ม
การ บริโภคเกลือมากเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการอาจทำก่อให้เกิดโรคหัวใจ รวมถึงภาวะอุดตันของเส้นเลือด ด้านองค์การอาหารแนะนำว่า ร่างกายต้องการปริมาณเกลือในแต่ละวันเพียง 6 กรัมเท่านั้น ดังนั้นจึงพึงระวังโรคร้ายที่แฝงมากับเกลือจากผลิตภัณฑ์ของอาหารในรูปแบบ ต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายได้รับเกลือมากเกินความต้องการ

ทั้งนี้ การชิมอาหารก่อนการเติมเครื่องปรุงเพิ่มนั้น อาจทำให้คุณไม่ปรารถนาที่จะเติมเกลือเพิ่มลงไป หรือไม่อย่างนั้นคุณอาจใช้เครื่องปรุงสมุนไพรให้มีรสชาติจัดจ้านแทน

ระวังโรคอ้วนจู่โจม
หาก คุณเป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนมากเกินไป จากการเลือกรับประทานแต่อาหารที่มีไขมันสูงนั้น อาจส่งผลให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และเป็นโรคหัวใจได้เช่นกัน อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพนั้น มักพบในอาหารจำพวก พาย พาสทรีส์ บิสกิต ดังนั้นทางที่ดี จึงควรเลือกบริโภคอาหารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันตับปลา ถั่ว หรือ อโวคาโด อาหารเหล่านี้ สามารถลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดได้
การเลือกรับประทานอาหารช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้ดีได้
การ รับประทานผัก และ ผลไม้ ให้ติดจนเป็นนิสัยทุกวัน เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากจะทำให้คุณได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างหลากหลาย การรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณ 80 กรัมต่อวันนั้นยิ่งส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน อย่างเช่น ทานองุ่นวันละ 1 กำมือ พริกวันละครึ่งเม็ด หรือลูกพลัมขนาดกลางอีกวันละ 2 ผล ควรพยายามทานผัก ผลไม้ทุกวัน และทุกมื้อ

เริ่มจากแครอทและมันเทศ เต็ม ไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งนี้การเพิ่มรสชาติด้วยพริกไทยดำ หรือเนยอีกเพียงเล็กน้อย สามารถทานคู่กับไส้กรอก หรือเนื้อได้อร่อยอย่างน่ามหัศจรรย์

อโวคาโด ถึงแม้จะเป็นผลไม้ที่มีไขมันมากที่สุด แต่สามารถทานได้เป็นประจำทุกวัน เนื่องจากไขมันของอโวคาโด เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และสามารถลดไขมันในเส้นเลือดได้ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินอี วิตามินบี6 และแร่ธาตุ

ผักโขม นับเป็นแหล่งรวมวิตามินซี ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคต่างๆ ตั้งแต่โรคเหน็บชาไปจนถึงโรคเกี่ยวกับสมอง
นอก จากผักจะเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับอาหารแล้ว ผักยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเพิ่มรสชาติให้กับอาหารอีกด้วย ดังนั้น ในการรับประทานอาหารทุกมื้อ จึงไม่ควรมองข้มที่จะใส่ผักลงไปในอาหารทุกจาน ทั้งในอาหารจำพวกพาสต้า สตูว์ หรือแกงกะหรี่ เพิ่ม ถั่ว ข้าวโพดอ่อน หรือแครอท ลงในพาย เติมสัปปะรด พริกไทย ในพิซซ่า รวมถึงใส่เห็ดลงในลาซาญญ่า และคาเนลโลนี เพื่อช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับอาหารและทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีโดยไม่รู้ตัวอีก ด้วย...

ที่มา hellomagazine.com

doppelganger…ภูตเงา หรือ ผีคนเป็น


ดอพเพลแกงเกอร์ (เยอรมัน: doppelganger) เป็นความเชื่อ โดย doppel มีความหมายเดียวกับคำว่า double ในภาษาอังกฤษหรือแปลได้ว่า “ซ้ำสอง” ส่วนคำว่า g?nger หมายถึง “goer” มีคำเรียกอีกอย่างว่า evil twin (แฝดปีศาจ) หรือ bilocation (การปรากฏตนในสองสถานที่) ซึ่งมีที่มาจากเรื่องเล่าขานพื้นบ้านของเยอรมัน

นิยามกว้าง ๆ ของดอพเพลแกงเกอร์ กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่มีการพบเห็นบุคคลหนึ่งผู้ในเวลาเดียวกันแต่ต่างสถานที่ ศัพท์นี้ได้ถูกนำมาใช้มากที่สุดกับกรณีของฝาแฝดผู้ชั่วร้าย ซึ่งปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปในวรรณกรรมและภาพยนตร์แนวลึกลับต่างๆ โดยทั่วไปแล้วดอพเพลแกงเกอร์ถูกถือเป็นสัญญาณแห่งความโชคร้าย ความเจ็บป่วยหรือภยันตรายจะเกิดขึ้นหากเพื่อนฝูงหรือเครือญาติได้พบเห็น ในขณะที่การพบเห็นดอพเพลแกงเกอร์ของตนจะนำมาซึ่งความตาย ถึงกระนั้น รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่ว่านี้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงดังกล่าว เนื่องจากเรื่องราวและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับคำนี้มีขอบเขตที่กว้างกว่านั้นมาก

ดอพเพลแกงเกอร์ เป็นคำที่ใช้เรียกกรณีที่มนุษย์คนหนึ่งได้ปรากฏตัวตนเพิ่มขึ้นมาจากเดิมอีกคนหนึ่ง ซึ่งจะมีลักษณะภายนอกเหมือนกันทุกประการ

ตามเรื่องราวที่เล่าขานกันมาดอพเพลแกงเกอร์นั้นจะไม่มีเงาของตัวเอง รวมทั้งไม่มีภาพสะท้อนบนกระจกหรือผิวน้ำ มันอาจจะให้คำแนะนำอะไรบางอย่างกับบุคคลต้นแบบของมันด้วยเจตนาร้าย ซึ่งยุแยงให้เกิดความเข้าใจผิดต่าง ๆ หรืออาจจะปรากฏตัวต่อหน้าญาติมิตรเพื่อทำให้เกิดความสับสน และมันอาจจะปรากฏตัวในลักษณะที่สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ยามที่บุคคลต้นแบบของมันเจ็บไข้ได้ป่วย

ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปรากฏการณ์ดอพเพลแกงเกอร์นั้นเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด ความเชื่อบางประเภทนั้นยึดหลักที่ว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกจะมีฝาแฝดของตนอยู่ หากบุคคลนั้นเป็นคนดี ฝาแฝดก็จะชั่วร้าย หากบุคคลนั้นเป็นคนชั่วร้าย ฝาแฝดก็จะเป็นไปในทางกลับกัน และการที่ฝาแฝดทั้งสองมาพบกันนั้นก็จะยังผลให้ทั้งคู่ต้องพบกับจุดจบของชีวิต บ้างก็เชื่อว่าดอพเพลแกงเกอร์เป็นภูตผีปีศาจในรูปแบบหนึ่งที่จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงลางร้าย หากพวกมันไม่ได้ นำพามาซึ่งลางร้ายเสียเอง นอกเหนือไปจากนี้แล้ว บุคคลบางกลุ่มมีความเห็นเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ว่านี้ว่า น่าจะเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้พลังจิตที่มีชื่อเรียกว่า “Out-of-Body Experience” หรือ “Astral Projection” ในกรณีนี้ มีการกล่าวอ้างว่ามีหลายคนพบเห็นพราหมณ์บางคนหลายสถานที่ในเวลาเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่พราหมณ์ผู้นั้นกำลังนอนอยู่

บางความเชื่อก็ว่าดอพเพลแกงเกอร์นั้นจะยืนอยู่หลังเจ้าของตลอดเวลา มีความว่องไวในการหลบหลีกสูงจนแม้หากหันหน้าเร็วยังไงก็ไม่ทันมัน นอกจากนี้มันยังเลียนแบบทำทุกอย่างตามเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงสีหน้า การเลียนเสียงซึ่งมันจะพูดออกมาพร้อมกับเจ้าของเอง เสียงของมันคล้ายกับเจ้าของจนดูดกลืนเข้าไปด้วยกัน

ชาวต่างชาติบางกลุ่มเชื่อว่าดอพเพลแกงเกอร์ คือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาเพื่อคอยช่วยเหลือมนุษย์เราไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป เพราะมันจะรับฟังสิ่งที่เราพูดทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่ผู้อื่นไม่อยากฟัง และตอบคำถามที่ใคร ๆ ไม่สนใจจะตอบโดยการสร้างรอยพิมพ์คำตอบเหล่านั้นขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของเรา ในบางครั้งก็ช่วยเหลือเราด้วย เช่น เมื่อถึงคราวคับขัน เรามักจะรอดตายอย่างหวุดหวิดแบบฉิวเฉียด ทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม นั่นเป็นเพราะเจ้าดอพเพลแกงเกอร์ พุ่งออกมาเร็วกว่าและหยุดยั้งเราเอาไว้ได้

สุนัขและแมว สามารถเห็นเงาดอพเพลแกงเกอร์ของเราได้ ด้วยเหตุนี้แมวจึงมักจะมองข้ามไหล่ของเข้าของ ราวกับว่ามีใครหรืออะไรอยู่ตรงนั้น และบางทีสุนัขก็มักจะลุกขึ้นมาเห่าตามหลังเจ้าของตัวเอง นั่นก็เป็นเพราะมันเห็นสิ่งแปลกปลอมนั่นเอง สำหรับคนหนุ่มสาวแล้วเรื่องดอพเพลแกงเกอร์ อาจจะฟังดูไม่เข้าท่า แต่บางครั้งคนเฒ่าคนแก่ก็นั่งคุยคนเดียวได้เป็นตุเป็นตะได้ทั้งวัน เหมือนพวกเขากำลังคุยอยู่กับใครบางคน

ข้างต้นดูเหมือนว่าดอพเพลแกงเกอร์ จะเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ แต่ก็มีความเชื่อหลายอย่างที่นับว่าน่ากลัวทีเดียว นั่นคือ หากดอพเพลแกงเกอร์ได้รับแรงกระทบจากความอาฆาตแค้นและความพยาบาทจากเจ้าของ มันจะทอดทิ้งร่างไปชั่วคราวเพื่อทำการแก้แค้นด้วยตัวของมันเอง เช่นก่อดคีเลวร้ายต่าง ๆ ในรูปลักษณ์ของเรา ทั้งที่เราก็อยู่เฉย ๆ และอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้น หากมันไม่ไปก่อเรื่องด้วยตัวเอง แต่กลับยืมมือเจ้าของมาทำเสียเอง โดยบังคับให้เราคิด หรือทำ อย่างที่มันต้องการ โดยผิดวิสัยความเป็นตัวเราอย่างสิ้นเชิง…

สรุป ดอพเพลแกงเกอร์ คือ ความเชื่อที่ว่า คนเรามีเงา หรือ ตัวตน ของเราในอีกรูปแบบหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกัน แต่อาจมีนิสัยที่ตรงข้ามกัน อาจปรากฏตัวตามที่ต่าง ๆ พร้อม ๆ กับเรา และทำพฤติกรรมต่าง ๆ ในนามของเรา บ้างก็เชื่อว่าเป็นผู้คอยช่วยเหลือเจ้าของร่าง บ้างก็เชื่อว่าเป็นลางบอกเหตุร้าย แต่โดยทั่วไปเชื่อว่า หากดอพเพลแกงเกอร์ของบุคคลใด ๆ ถูกพบเห็น จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับบุคคลนั้นถึงขั้นเสียชีวิตเลยทีเดียว

ตัวอย่าง ปรากฏการณ์ดอพเพลแกงเกอร์จากทั่วโลก

หญิงสาวชาวโปรตุเกสคนหนึ่งเล่าว่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่เธอกำลังขนของย้ายบ้าน เธอได้เห็นพี่ชายของเธอมาช่วยขนของ ซึ่งในเวลานั้นพี่ชายของเธอไปรบ จึงน่าจะอยู่ที่สนามรบ หลังจากที่ขนของย้ายบ้านเสร็จ พี่ชายของเธอก็หายตัวไป และหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีนายทหารมาแจ้งข่าวให้เธอทราบว่า พี่ชายของเธอได้เสียชีวิตในสนามรบเสียแล้ว

ที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้า เขาได้เห็นตัวเองในสวนสาธารณะ ซึ่งเขาคิดว่าคงเป็นคนที่หน้าตาเหมือนกัน จึงไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก และในตอนเย็นวันเดียวกันนั้นเอง เขาได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง แต่เขารอดชีวิตมาได้ ถึงกระนั้นก็ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือนทีเดียว

ชายอีกคนหนึ่งกล่าวว่า ขณะที่เขาเที่ยวอยู่ที่ตุรกี เขาได้เห็นเพื่อนของเขาเดินเข้าไปในโบสถ์ที่เคยมาเที่ยวด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่เพื่อนของเขานอนป่วยและรักษาตัวอยู่ที่ประเทศเยอรมัน

ว่ากันว่า คนที่ได้เห็น ดอพเพลแกงเกอร์ของตนเอง ร่างกายจะค่อย ๆ ทรุดโทรมลงและพบกับความตายภายใน 1 ปี...



อ้างอิงจาก : http://th.wikipedia.org/wiki
ขอขอบคุณ : http://lonesomebabe.spaces.live.com

ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~



Credit : Indepencil.com

เคล็ดลับบำรุงสมองให้จำแม่นขึ้น


ในช่วงนี้น้องๆหลายๆคนกำลังเข้าสู่การเตรียมตัวสอบFinal หรือเตรียมตัวสอบเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัย ปุ๋มปิ๋มจะมาเผยเคล็ดลับในการบำรุงสมองที่ช่วยในส่วนของการจำรายละเอียดต่างๆให้ดีขึ้น ด้วยการ กิน!! อาหารที่มีประโยชน์และที่อาหารที่สมองต้องการ มีดังนี้

ก่อนอื่นเราต้องรู้กันก่อนว่าสมองต้องการสารอาหารอะไรบ้างที่ช่วยในการจำ!!

+ วิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี1 บี2 บี6 บี12 ไนอะซิน แพนโธทีนิคและกรดโฟลิค เป็นกลุ่มของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นประสาทป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน และความสมบูรณ์ของอวัยวะ ต่าง ๆ

- วิตามิน B1 มีมากในเมล็ดข้าวต่าง ๆ ที่ไม่ได้ขัดให้ขาว เช่น ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดง ข้าวโอ๊ต เนื้อหมู ตับ ถั่ว รำข้าว และยีสต์ที่ตายแล้ว

- วิตามิน B2 พบในอาหารประเภท เครื่องใน เช่น ตับ ไต (เซี่ยงจี๊) น้ำนม และนมเปรี้ยว (โยเกิร์ต) ผักใบเขียว และ ปลา

- วิตามิน B6 มีในปลา เป็ด ไก่ เนื้อสัตว์ กล้วย ลูกพรุน ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดขาว อะโวคาโด ข้าวโพด

- วิตามิน B12 มีอยู่ในเนื้อสัตว์ต่างๆ อาหารทะเล นมและผลิตภัณฑ์จากนม เนยแข็ง

- ไนอะซิน หรือ กรดนิโคตินิก หรือเรียกอีกอย่างว่า วิตามินB3 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีสภาพคงทนกว่าวิตามินบี 1 และ บี 2 หลายเท่าตัว มีความทนทานต่อความร้อน แสงสว่าง กรด ด่าง ไนอาซินเป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน พบมากในเนื้อสัตว์ เนื้อปลา เป็ด ไก่ ถั่ว เครื่องในสัตว์ มันฝรั่ง ธัญพืช นม ยีสต์ ไข่ ผักสีเขียว

- แพนโธทีนิค หรือ วิตมินB5 ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน รักษาระดับพลังงาน และลดความเครียด พบมาใน นมผึ้ง บริเวอรส์ยีสต์ ตับและไต นัต ธัญพืชไม่ขัดขาวและไข่

- กรดโฟลิก มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ ช่วยให้โครงสร้างสมองสมบูรณ์ ช่วยในการดูดซึมน้ำตาลและโปรตีน และเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด มีมากในผักใบเขียวจัด เช่น ผักโขม บล็อกโคลี่ เห็ด ตับ ถั่วที่มีสีเขียว มันฝรั่ง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลมีล ส้ม ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง ตับ นม ไข่ โยเกิร์ต

+ ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง การขาดธาตุเหล็กจะทำให้สมาธิสั้น ไอคิวลดลง
การเสริมธาตุเหล็กสำหรับผู้ที่ขาดธาตุเหล็ก จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์
ใช้ความคิด เพิ่มทักษะในการใช้คำพูด อาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ เครื่องใน อาหารทะเล

โคลีน เป็นองค์ประกอบที่พบในเยื่อหุ้มเซลล์สมองและสารเคมีในเซลล์สมองที่ชื่อว่า อะเซทิลโคลีน ซึ่งควบคุมความจำ อาหารที่มีโคลีนสูง คือ ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บรูเออส์ยีส ส่วนที่มีในปริมาณเล็กน้อยได้แก่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ ขนมปังโฮลวีท นม ส้ม ดอกกะหล่ำ และแตงกวา

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม พืชที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระได้แก่ สารโอพีซีสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากใบแปะก้วย กรดไลโปอิคและสารฟลาโวนอยด์ในผัก ผลไม้ เช่น องุ่น ผลไม้ประเภทเบอร์รี ชาเขียว

** มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่า ผู้ที่บริโภควิตามินซีสูงมีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุด

น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันความจำเสื่อม ปลาที่มีโอเมก้า 3 มาก ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาค้อด ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล **ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารแนะนำให้บริโภคเนื้อปลาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

ถ้ารู้กันเช่นนี้เราควรหาวิธีที่ช่วยบำรุงสมองที่เหนื่อยล้ากลับมาเฟรซอีกครั้งด้วยอาหารที่มีคุณประโยชน์ดีๆเหล่านี้กันนะคะ และสำหรับคนที่ไม่มีเวลาหรือเร่งรีบจริงๆ เราก็สามารถหา เครื่องดื่มบำรุงสมอง ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดมาดื่มในช่วงเช้าก่อนทานอาหารเช้าทุกวันนะคะ และที่สำคัญที่สุด การพักผ่อนนอบหลับเป็นวิธีบำรุงสมองชั้นเยี่ยมเลยทีเดียวจ๊า ^^

Credit http://www.thoondd.com/content.php?id=952

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กินขนมหวาน ทำให้เป็นสิวได้หรือไม่


มีรายงานว่าไม่พบสิวในคนบางกลุ่มซึ่งกินอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ จึงมีการตั้งทฤษฎีการได้รับน้ำตาลน้อยว่า เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลน้อยระดับอินซูลินในเลือดจะต่ำ และภาวะน้ำตาลน้อยยับยั้งการผลิตแอนโดรเจน

ส่วนอาหารที่มีน้ำตาลสูงทำให้มีอินซูลินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งภาวะนี้นำไปสู่การมี insulin-like growth factor 1 (IGF-1) ในเลือดสูงขึ้น ซึ่งพบว่า IGF-1 ทำให้ผิวหนังแบ่งตัวเร็วและหนาตัวขึ้น จึงทำให้เกิดก้อนไขมันอุดตันในรูขุมขนและเกิดสิวตามมา นอกจากนั้น IGF-1 และอินซูลิน ยังกระตุ้นการผลิตแอนโดรเจน ที่ทราบกันดีว่าเป็นตัวเพิ่มการผลิตไขมัน

มีการศึกษาทำในผู้ชายอายุ 15-25 ปีที่เป็นสิวจำนวน 43 ราย แบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กินอาหารตามปกติ กลุ่มที่ 2 ให้กินอาหารที่ให้น้ำตาลต่ำ เป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน 12 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ได้อาหารที่ให้น้ำตาลต่ำผู้ป่วยมีน้ำหนักลดลง และปริมาณสิวลดลงโดยการนับจำนวนสิวทั้งหมด ปัจจุบันจึงเชื่อว่าการกินขนมหวานที่มีน้ำตาลสูงน่าจะกระตุ้นให้สิวกำเริบ ได้จริง

ถูกผีอำ' อยากรู้ว่าผีอำเกิดจากอะไร ไม่ได้เป็นผีจริงๆ ใช่ไหมคะ


ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ไขข้อสงสัยในวิทยาศาสตร์รอบตัว จากเว็บไซต์ สสวท. ว่า ความจริงแล้วอาการผีอำ คือ ล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าโดยเฉพาะหลังจากทำงานหรือดูหนังสือ แม้กระทั่งดูโทรทัศน์ เมื่อเข้านอนด้วยความล้า และเกิดการประสานกันระหว่างสารเคมีกับสภาพชีวเคมีของร่างกาย ทำให้เกิดอาการทั้งกดทั้งค้าง ทำให้เราขยับเขยื้อนไม่ไหว ในขณะนั้นความจริงแล้วกำลังตื่นอยู่ สมองทำงานได้ แต่ร่างกายเราขยับเขยื้อนไม่ไหว เหมือนมีคนมาจับเราอยู่ จึงคิดเลยเถิดว่ามีผีมาจับตัวเรา

น.พ.เทอดศักดิ์ เดชคง นายแพทย์เชี่ยวชาญ กลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เขียนไว้ในเว็บไซต์ หมอชาวบ้าน ว่าผีอำเป็นปัญหาในการนอน เกิดอาการในสภาวะคล้ายๆ กับการฝัน ขณะที่ถูกผีอำคนๆ นั้นจะอยู่ในสภาวะที่ขยับตัวไม่ได้

สภาวะการหลับมี 2 ระยะ คือ non-REM เป็นช่วงที่หลับ แต่ตาไม่ได้กลอกไปมา ยังพอมีกำลังขยับตัวได้ พลิกตัวได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเราจะลุกขึ้นมาได้ แต่ในภาวะหลับตาแบบตากระตุก หรือ REM sleep จะมีการฝัน กล้ามเนื้อต่างๆ จะผ่อนคลายหมด ขยับตัวไม่ได้ยกเว้นต้องตื่นในช่วงเวลาเอง ถ้ามีสิ่งเร้าอะไรที่มาทำให้เราไม่สบาย เช่น อาจจะมีหมอนข้างมาวางอยู่บนตัวหรือขา หรืออาจจะนอนในท่าที่ไม่สบาย อยากจะออกจากสถานการณ์นั้น แต่ว่าทำไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อมันคลายไปหมดแล้ว ก็จะเป็นสภาวะที่รู้สึกเหมือนกับว่าใครมากดทับ สักพักหนึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง

คนที่มีอาการ 'ผีอำ' ไม่ได้เป็นความผิดปกติทางจิตใจ แต่เป็นสิ่งที่บ่งบอกในเบื้องต้นว่าเริ่มมีภาวะความเครียด ซึ่งไม่ได้เกิดอาการนี้ทุกๆ วัน ยกเว้นบางคนที่เป็นมาก แสดงว่าปัญหาเยอะ แล้วมักจะเก็บไปฝัน ถ้าตื่นขึ้นมานิดหนึ่งก็จะรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้ ตกอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น

วิธีการจัดการเมื่อถูกผีอำ คือ ผ่อนคลายความเครียดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง อย่าไปทำอะไรที่ตื่นเต้น เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกม อาจจะผ่อนคลายก่อนนอนด้วยการอาบน้ำอุ่น หรือดื่มนมอุ่นๆ โดยเฉพาะนมถั่วเหลือง จะทำให้หลับสบายขึ้น หรืออาจจะใช้วิธีสะกดจิตเข้าช่วยโดยการโปรแกรมจิตใหม่

รายที่อาการมากๆ แพทย์จะจ่ายยาคลายเครียดหรือยาต้านเศร้า จะทำให้หลับสนิทขึ้นโดยไม่ฝันมากนัก เพราะคนที่ผีอำจะฝันปนอยู่ด้วย เมื่อฝันน้อยลงจะลดอาการผีอำได้

หลักง่ายๆ เวลาโดนผีอำให้นอนเฉยๆ สักพักอาการจะหายไปเอง

ผู้ใหญ่มักจะเตือนว่าอย่านอนตอนโพล้เพล้เพราะจะถูกผีอำ น.พ.เทอดศักดิ์บอกว่าในทางวิทยาศาสตร์เวลาเย็นๆ หรือโพล้เพล้เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของแสง การเปลี่ยนแปลงของแสงนั้นเป็นสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งที่ทำให้มีปัญหาในการนอน ถ้าเรานอนตอนกลางคืนหรือกลางวันไปเลยจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ถ้านอนช่วงโพล้เพล้อาจจะหลับไม่สบาย หลับไม่สนิท

ผีอำ จึงไม่ใช่ผีเข้า อย่างที่เข้าใจผิดกันมา และสามารถแก้ไขได้โดยทำใจให้สบายก่อนนอน

รู้ไปโม้ด - nachart@yahoo.com

เคล็ดลับ วิธีแก้นิสัยขี้ลืม ด้วยตัวเอง แบบง่าย


ตั้งสมาธิ สาเหตุ หนึ่งที่ทำให้หลงลืมบ่อยเพราะไม่มีสมาธิ หรือมีสารพัดเรื่องเข้ามาแทรกแซงอยู่ตลอดเวลา อย่าให้มีอะไรมากวนสมาธิบ่อยนัก จัดเวลาช่วงหนึ่งงดรับโทรศัพท์และติดป้ายห้ามรบกวนไว้ที่โต๊ะ หาเวลานั่งเงียบๆ หลับตา หายใจเข้าช้าๆ เพื่อให้เกิดความสงบ




จดโน้ต ถ้าทำงานที่มีความซับซ้อนหรือมีหลายงาน ควรรีบโน้ตสั้นๆ ว่าจะทำอะไรต่อไป ส่วนที่ชอบลืมแล้วลืมอีกควรจดโน๊ตต่างๆ เพื่อช่วยเตือนความจำอีกที




ใส่ใจ การ ที่คนเราลืมอะไรบ่อยๆ อาจะเป็นเพราะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้น ถ้าใครพูดอะไรด้วยแล้วลืม หรือจำชื่อคนไม่ค่อยได้ ลองหันมาสนใจตั้งใจฟังสักนิด ก็จะช่วยให้จำได้ดีขึ้น




ท่องจำ การท่องเป็นวิธีช่วยจำที่ตรงไปตรงมาที่สุด เด็กนักเรียนจำคำศัพท์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เพราะท่องจำเนี่ยแหละ ถ้าหมั่นท่องสิ่งที่ต้องทำบ่อยๆ ได้จากการฟัง ได้ดีขึ้น


พูดออกเสียง เคยสังเกตไหมว่าเราสามารถจดจำเรื่องต่างๆ ได้จากการฟัง การพูด ออกมาทำให้เราได้ยินเสียงของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้จำง่ายขึ้น


พูดคุยหรือเล่าให้คนอื่นฟัง ก็เป็นการช่วยจำทางหนึ่ง และการเล่าให้คนอื่นฟังรู้เรื่อง ตัวเราเองต้องเข้าใจเรื่องนั้นอย่างดีและจำได้ดี ถ้าอยากจำเรื่องที่ประชุม สัมมนา หรืออบรมได้ดีขึ้นลองพูดคุยหรือเล่าให้เพื่อนฟัง


ทำ mind mapping ถ้า จะทำโครงการต่างๆ ลองเริ่มจากการเขียนแผนผังใส่หัวข้อต่างๆ ลงไป มีหัวข้อหลักและรายละเอียดด้วยก็จะทำให้เห็นภาพรวมทั้งหมดและช่วยจำได้ ที่สำคัญนอนหลับให้พอ ถ้านอนเต็มอิ่มก็จะช่วยให้จำดีขึ้น



ขอบคุณสกิดดอทคอม

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กินไอศกรีมนั้นดีกว่ากินมื้อเที่ยงเป็นไหนๆ


สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบการกินไอศกรีมแต่กลัวอ้วน อาจจะต้องดีใจจากข้อมูลจากประเทศอิตาลี ที่ขึ้นชื่อเรื่องไอศกรีมโฮมเมดว่า

การกินไอศกรีมนั้นดีกว่ากินมื้อเที่ยงเป็นไหนๆ เพราะย่อยง่าย และทำให้สดชื่นพร้อมลุยงานต่อในช่วงบ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครอยากลดความอ้วนละก็ แนะนำให้กินไอศกรีมผลไม้แทนมื้อเที่ยงสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง

ข้อดีต่อไปคือ ไอศกรีมเชอร์เบทดับกระหายได้ดีกว่าน้ำ เพราะมีน้ำซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ร้อยละ 65-70 แถมมีแคลอรี่น้อยกว่าน้ำอัดลมด้วย นอกจากนี้ไอศกรีมยังช่วยลดความเครียดได้ เพราะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายและทำให้ผ่อนคลายอีก



แต่น้องๆ ที่อยู่ในวัยเรียน แนะนำว่า กินมื้อเที่ยงด้วยก็ดีนะคะ เพราะเดี๋ยวไม่มีอะไรไปบำรุงสมอง ลดอ้วนเฉพาะมื้อเย็นดีที่สุดนะคะ

ภาพจาก http://everybodylikessandwiches.com

The Flannan Isles lighthouse keepers


หนึ่งในกรณีของการหายสาบสูญที่น่าพิศวงก็คือกรณีเหตุเกิดที่เกาะฟรานแนน ซึ่งเป็นเกาะเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากสกอตแลนด์ประมาณ 20 ไมล์ โดยเกาะแห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นจุดเด่นก็คือประภาคารสูงกว่า 23 เมตร ที่สร้างขึ้นระหว่าง 1895 และ 1899 และสถานที่แห่งนี้เองได้เกิดเรื่องลึกลับขึ้น เมื่อในวันที่ 15 ธันวาคม 1900 เรือกลไฟที่ผ่านเกาะแห่งนี้ในสภาพอากาศเลวร้ายได้สังเกตว่าแสงไฟจากประภาคาร ไม่ได้ส่องนำทางให้แก่เรือของพวกเขา ทั้งที่ในประภาคารเวลานั้นมีเจ้าหน้าที่ประภาคารสามคนผลัดเปลี่ยนเวรอยู่ ต่เนื่องด้วยตอนนั้นสภาพอากาศเลวร้ายทำให้พวกเขาไม่ได้ขึ้นไปตรวจสอบ จนกระทั้งวันต่อเมื่อมีตรวจสอบประภาคารก็พบว่ายามทั้งสามคนได้หายตัวไปอย่าง ลึกลับโดยทิ้งหน้าที่ของพวกเขาเอาไว้ ที่น่าลึกลับก็คือประตูทางเข้าประภาคารได้ถูกปิดลง นาฬิกาหยุด เตียงถูกทำลาย เครื่องครัวของทุกคนสะอาดแสดงว่าเขาน่าจะหายไปหลังอาหารค่ำ แม้หลายฝ่ายจะมีการค้นหาสามยามดังกล่าวจากหน้าผาหรือในน้ำแต่ก็ล้มเหลว หลายคนเชื่อว่าสามคนที่หายไปนั้นเกิดจากพายุจากสภาพอากาศที่เลวร้าย หรือจากปรากฏการณ์ลึกลับเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว งูทะเลยักษ์คาบไปกิน หรือไม่ก็ทั้งสามถูกลักพาตัวโดยสายลับต่างชาติ

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วิธีการสร้างสมาธิแบบเดิมๆ เช่น การนั่งสมาธิ การฟังเพลง น้องๆ อาจจะรู้อยู่แล้ว ดังนั้น เคล็ดลับของพี่มิ้นท์วันนี้ จึงเอาวิธีสร้างสมาธิด้วยสารพัดกลิ่นมาบอกต่อน้องๆ รับรองว่าเจ๋งจริงอะไรจริง สมาธิบรรเจิด แถมได้อยู่กับกลิ่นหอมๆ ด้วย โรแมนติกได้อีกอะ^^

ในทางตรงกันข้าม บางกลิ่นที่หอมๆ ก็ประโยชน์ต่อร่างกาย สรรพคุณของมัน จะช่วยสร้างสมาธิ ทำให้สมองผ่อนคลาย รู้สึกมีความสุข เจ้าสิ่งพวกนี้ คือ น้ำมันหอมระเหยนั่นเอง และพี่มิ้นท์ ก็กำลังจะพาน้องๆ มารู้จักกับ "กลิ่น" ที่มีพลังวิเศษ ช่วยให้ผ่อนคลาย อ่านหนังสือรู้เรื่องอย่างไม่รู้ตัว

"กลิ่น" ไหนบ้าง ที่มีประโยชน์

1) กลิ่นลาเวนเดอร์ ช่วยลดความเครียด ลดอาการปวดหัว ถ้าอ่านหนังสือแล้วรู้สึกมึนๆ ปวดหัว ก็ลองหากลิ่นนี้มาใช้ดู เพราะคุณสมบัติของกลิ่นนี้จะกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท สามารถลดความกังวลและความตื่นเต้นได้ จะรู้สึกสงบลง ถ้าจะออกไปรายงานหน้าห้อง ลองพกกลิ่นนี้ไว้ด้วยก็ได้นะ เผื่อจะหายตื่นเต้น ฮ่าๆ แต่อย่าเผลอเอายากันยุง กลิ่นลาเวนเดอร์มาจุดล่ะ อันนี้น่าจะมึนหัวกว่าเดิม





2) กลิ่นโรสแมรี่ ช่วยให้สดชื่น แจ่มใส แก้ง่วง ช่วยให้ระบบการหมุนเวียนเลือดในสมองดีขึ้น เป็นประโยชน์โดยตรงสำหรับสมอง ที่จะทำให้รับรู้และจดจำแม่นขึ้น อยากสร้างสมาธิให้จำแม่นขึ้น ต้องลองหากินนี้มาใช้นะ
3) กลิ่นซีตรัส แบบอ่อนๆ เช่น กลิ่นมะนาว เลมอน หรือกลิ่นพวกเกรปฟรุตต่างๆ จะให้ความรู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง เพราะลักษณะของกลิ่นจะให้ความรู้สึกสะอาด ๆ สร้างสมาธิได้ดีเหมือนกัน นอกจากนี้ยังคลายเครียดได้อีกด้วย
4) กลิ่นมินต์ (ไม่ใช่กลิ่นพี่มิ้นท์นะ อิอิ) ช่วยให้รู้สึกมีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า อยากอ่านหนังสือ เพราะโมเลกุลของมินต์มีผลต่อการสื่อสารของเซลล์ประสาท จึงเพิ่มพลังสมองได้ และยังมีสรรพคุณคล้ายๆ โรสแมรี่ คือช่วยให้ความจำดีขึ้นได้ด้วย
5) กลิ่นคาโมมายล์ ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง แจ่มใส มีสมาธิ ลดความเครียดได้เหมือนกัน

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สุขภาพดีง่ายๆด้วยการกิน

การรักษาสุขภาพ และการเอาใจใส่เรื่องการบริโภค ไม่เพียงแต่ทำให้รูปร่างดีเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ทำให้คุณเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างง่ายดาย และยังทำให้คุณห่างไกลจากโรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน ทั้งนี้การป่วยด้วยโรคต่างๆ มีส่วนมาจากการเลือกรับประทานอาหารด้วยเช่นกัน นอกจากนี้หากมีการออกกำลังควบคู่ไปด้วยยิ่งส่งผลให้ทั้งสุขภาพและรูปร่างของ คุณดูดีอยู่เสมอ

นี่คือหลักการง่ายๆของการรับประทานอาหารเพื่อการมีสุขภาพที่ดี

พึงระวังโรคที่มากับความเค็ม
การ บริโภคเกลือมากเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการอาจทำก่อให้เกิดโรคหัวใจ รวมถึงภาวะอุดตันของเส้นเลือด ด้านองค์การอาหารแนะนำว่า ร่างกายต้องการปริมาณเกลือในแต่ละวันเพียง 6 กรัมเท่านั้น ดังนั้นจึงพึงระวังโรคร้ายที่แฝงมากับเกลือจากผลิตภัณฑ์ของอาหารในรูปแบบ ต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายได้รับเกลือมากเกินความต้องการ

ทั้งนี้ การชิมอาหารก่อนการเติมเครื่องปรุงเพิ่มนั้น อาจทำให้คุณไม่ปรารถนาที่จะเติมเกลือเพิ่มลงไป หรือไม่อย่างนั้นคุณอาจใช้เครื่องปรุงสมุนไพรให้มีรสชาติจัดจ้านแทน

ระวังโรคอ้วนจู่โจม
หาก คุณเป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนมากเกินไป จากการเลือกรับประทานแต่อาหารที่มีไขมันสูงนั้น อาจส่งผลให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และเป็นโรคหัวใจได้เช่นกัน อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพนั้น มักพบในอาหารจำพวก พาย พาสทรีส์ บิสกิต ดังนั้นทางที่ดี จึงควรเลือกบริโภคอาหารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันตับปลา ถั่ว หรือ อโวคาโด อาหารเหล่านี้ สามารถลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดได้
การเลือกรับประทานอาหารช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้ดีได้
การ รับประทานผัก และ ผลไม้ ให้ติดจนเป็นนิสัยทุกวัน เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากจะทำให้คุณได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างหลากหลาย การรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณ 80 กรัมต่อวันนั้นยิ่งส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน อย่างเช่น ทานองุ่นวันละ 1 กำมือ พริกวันละครึ่งเม็ด หรือลูกพลัมขนาดกลางอีกวันละ 2 ผล ควรพยายามทานผัก ผลไม้ทุกวัน และทุกมื้อ

เริ่มจากแครอทและมันเทศ เต็ม ไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งนี้การเพิ่มรสชาติด้วยพริกไทยดำ หรือเนยอีกเพียงเล็กน้อย สามารถทานคู่กับไส้กรอก หรือเนื้อได้อร่อยอย่างน่ามหัศจรรย์

อโวคาโด ถึงแม้จะเป็นผลไม้ที่มีไขมันมากที่สุด แต่สามารถทานได้เป็นประจำทุกวัน เนื่องจากไขมันของอโวคาโด เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และสามารถลดไขมันในเส้นเลือดได้ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินอี วิตามินบี6 และแร่ธาตุ

ผักโขม นับเป็นแหล่งรวมวิตามินซี ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคต่างๆ ตั้งแต่โรคเหน็บชาไปจนถึงโรคเกี่ยวกับสมอง
นอก จากผักจะเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับอาหารแล้ว ผักยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเพิ่มรสชาติให้กับอาหารอีกด้วย ดังนั้น ในการรับประทานอาหารทุกมื้อ จึงไม่ควรมองข้มที่จะใส่ผักลงไปในอาหารทุกจาน ทั้งในอาหารจำพวกพาสต้า สตูว์ หรือแกงกะหรี่ เพิ่ม ถั่ว ข้าวโพดอ่อน หรือแครอท ลงในพาย เติมสัปปะรด พริกไทย ในพิซซ่า รวมถึงใส่เห็ดลงในลาซาญญ่า และคาเนลโลนี เพื่อช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับอาหารและทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีโดยไม่รู้ตัวอีก ด้วย...

ที่มา hellomagazine.com

doppelganger…ภูตเงา หรือ ผีคนเป็น


ดอพเพลแกงเกอร์ (เยอรมัน: doppelganger) เป็นความเชื่อ โดย doppel มีความหมายเดียวกับคำว่า double ในภาษาอังกฤษหรือแปลได้ว่า “ซ้ำสอง” ส่วนคำว่า g?nger หมายถึง “goer” มีคำเรียกอีกอย่างว่า evil twin (แฝดปีศาจ) หรือ bilocation (การปรากฏตนในสองสถานที่) ซึ่งมีที่มาจากเรื่องเล่าขานพื้นบ้านของเยอรมัน

นิยามกว้าง ๆ ของดอพเพลแกงเกอร์ กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่มีการพบเห็นบุคคลหนึ่งผู้ในเวลาเดียวกันแต่ต่างสถานที่ ศัพท์นี้ได้ถูกนำมาใช้มากที่สุดกับกรณีของฝาแฝดผู้ชั่วร้าย ซึ่งปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปในวรรณกรรมและภาพยนตร์แนวลึกลับต่างๆ โดยทั่วไปแล้วดอพเพลแกงเกอร์ถูกถือเป็นสัญญาณแห่งความโชคร้าย ความเจ็บป่วยหรือภยันตรายจะเกิดขึ้นหากเพื่อนฝูงหรือเครือญาติได้พบเห็น ในขณะที่การพบเห็นดอพเพลแกงเกอร์ของตนจะนำมาซึ่งความตาย ถึงกระนั้น รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่ว่านี้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงดังกล่าว เนื่องจากเรื่องราวและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับคำนี้มีขอบเขตที่กว้างกว่านั้นมาก

ดอพเพลแกงเกอร์ เป็นคำที่ใช้เรียกกรณีที่มนุษย์คนหนึ่งได้ปรากฏตัวตนเพิ่มขึ้นมาจากเดิมอีกคนหนึ่ง ซึ่งจะมีลักษณะภายนอกเหมือนกันทุกประการ

ตามเรื่องราวที่เล่าขานกันมาดอพเพลแกงเกอร์นั้นจะไม่มีเงาของตัวเอง รวมทั้งไม่มีภาพสะท้อนบนกระจกหรือผิวน้ำ มันอาจจะให้คำแนะนำอะไรบางอย่างกับบุคคลต้นแบบของมันด้วยเจตนาร้าย ซึ่งยุแยงให้เกิดความเข้าใจผิดต่าง ๆ หรืออาจจะปรากฏตัวต่อหน้าญาติมิตรเพื่อทำให้เกิดความสับสน และมันอาจจะปรากฏตัวในลักษณะที่สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ยามที่บุคคลต้นแบบของมันเจ็บไข้ได้ป่วย

ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปรากฏการณ์ดอพเพลแกงเกอร์นั้นเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด ความเชื่อบางประเภทนั้นยึดหลักที่ว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกจะมีฝาแฝดของตนอยู่ หากบุคคลนั้นเป็นคนดี ฝาแฝดก็จะชั่วร้าย หากบุคคลนั้นเป็นคนชั่วร้าย ฝาแฝดก็จะเป็นไปในทางกลับกัน และการที่ฝาแฝดทั้งสองมาพบกันนั้นก็จะยังผลให้ทั้งคู่ต้องพบกับจุดจบของชีวิต บ้างก็เชื่อว่าดอพเพลแกงเกอร์เป็นภูตผีปีศาจในรูปแบบหนึ่งที่จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงลางร้าย หากพวกมันไม่ได้ นำพามาซึ่งลางร้ายเสียเอง นอกเหนือไปจากนี้แล้ว บุคคลบางกลุ่มมีความเห็นเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ว่านี้ว่า น่าจะเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้พลังจิตที่มีชื่อเรียกว่า “Out-of-Body Experience” หรือ “Astral Projection” ในกรณีนี้ มีการกล่าวอ้างว่ามีหลายคนพบเห็นพราหมณ์บางคนหลายสถานที่ในเวลาเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่พราหมณ์ผู้นั้นกำลังนอนอยู่

บางความเชื่อก็ว่าดอพเพลแกงเกอร์นั้นจะยืนอยู่หลังเจ้าของตลอดเวลา มีความว่องไวในการหลบหลีกสูงจนแม้หากหันหน้าเร็วยังไงก็ไม่ทันมัน นอกจากนี้มันยังเลียนแบบทำทุกอย่างตามเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงสีหน้า การเลียนเสียงซึ่งมันจะพูดออกมาพร้อมกับเจ้าของเอง เสียงของมันคล้ายกับเจ้าของจนดูดกลืนเข้าไปด้วยกัน

ชาวต่างชาติบางกลุ่มเชื่อว่าดอพเพลแกงเกอร์ คือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาเพื่อคอยช่วยเหลือมนุษย์เราไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป เพราะมันจะรับฟังสิ่งที่เราพูดทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่ผู้อื่นไม่อยากฟัง และตอบคำถามที่ใคร ๆ ไม่สนใจจะตอบโดยการสร้างรอยพิมพ์คำตอบเหล่านั้นขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของเรา ในบางครั้งก็ช่วยเหลือเราด้วย เช่น เมื่อถึงคราวคับขัน เรามักจะรอดตายอย่างหวุดหวิดแบบฉิวเฉียด ทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม นั่นเป็นเพราะเจ้าดอพเพลแกงเกอร์ พุ่งออกมาเร็วกว่าและหยุดยั้งเราเอาไว้ได้

สุนัขและแมว สามารถเห็นเงาดอพเพลแกงเกอร์ของเราได้ ด้วยเหตุนี้แมวจึงมักจะมองข้ามไหล่ของเข้าของ ราวกับว่ามีใครหรืออะไรอยู่ตรงนั้น และบางทีสุนัขก็มักจะลุกขึ้นมาเห่าตามหลังเจ้าของตัวเอง นั่นก็เป็นเพราะมันเห็นสิ่งแปลกปลอมนั่นเอง สำหรับคนหนุ่มสาวแล้วเรื่องดอพเพลแกงเกอร์ อาจจะฟังดูไม่เข้าท่า แต่บางครั้งคนเฒ่าคนแก่ก็นั่งคุยคนเดียวได้เป็นตุเป็นตะได้ทั้งวัน เหมือนพวกเขากำลังคุยอยู่กับใครบางคน

ข้างต้นดูเหมือนว่าดอพเพลแกงเกอร์ จะเป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ แต่ก็มีความเชื่อหลายอย่างที่นับว่าน่ากลัวทีเดียว นั่นคือ หากดอพเพลแกงเกอร์ได้รับแรงกระทบจากความอาฆาตแค้นและความพยาบาทจากเจ้าของ มันจะทอดทิ้งร่างไปชั่วคราวเพื่อทำการแก้แค้นด้วยตัวของมันเอง เช่นก่อดคีเลวร้ายต่าง ๆ ในรูปลักษณ์ของเรา ทั้งที่เราก็อยู่เฉย ๆ และอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้น หากมันไม่ไปก่อเรื่องด้วยตัวเอง แต่กลับยืมมือเจ้าของมาทำเสียเอง โดยบังคับให้เราคิด หรือทำ อย่างที่มันต้องการ โดยผิดวิสัยความเป็นตัวเราอย่างสิ้นเชิง…

สรุป ดอพเพลแกงเกอร์ คือ ความเชื่อที่ว่า คนเรามีเงา หรือ ตัวตน ของเราในอีกรูปแบบหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกัน แต่อาจมีนิสัยที่ตรงข้ามกัน อาจปรากฏตัวตามที่ต่าง ๆ พร้อม ๆ กับเรา และทำพฤติกรรมต่าง ๆ ในนามของเรา บ้างก็เชื่อว่าเป็นผู้คอยช่วยเหลือเจ้าของร่าง บ้างก็เชื่อว่าเป็นลางบอกเหตุร้าย แต่โดยทั่วไปเชื่อว่า หากดอพเพลแกงเกอร์ของบุคคลใด ๆ ถูกพบเห็น จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับบุคคลนั้นถึงขั้นเสียชีวิตเลยทีเดียว

ตัวอย่าง ปรากฏการณ์ดอพเพลแกงเกอร์จากทั่วโลก

หญิงสาวชาวโปรตุเกสคนหนึ่งเล่าว่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่เธอกำลังขนของย้ายบ้าน เธอได้เห็นพี่ชายของเธอมาช่วยขนของ ซึ่งในเวลานั้นพี่ชายของเธอไปรบ จึงน่าจะอยู่ที่สนามรบ หลังจากที่ขนของย้ายบ้านเสร็จ พี่ชายของเธอก็หายตัวไป และหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีนายทหารมาแจ้งข่าวให้เธอทราบว่า พี่ชายของเธอได้เสียชีวิตในสนามรบเสียแล้ว

ที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้า เขาได้เห็นตัวเองในสวนสาธารณะ ซึ่งเขาคิดว่าคงเป็นคนที่หน้าตาเหมือนกัน จึงไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก และในตอนเย็นวันเดียวกันนั้นเอง เขาได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง แต่เขารอดชีวิตมาได้ ถึงกระนั้นก็ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือนทีเดียว

ชายอีกคนหนึ่งกล่าวว่า ขณะที่เขาเที่ยวอยู่ที่ตุรกี เขาได้เห็นเพื่อนของเขาเดินเข้าไปในโบสถ์ที่เคยมาเที่ยวด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่เพื่อนของเขานอนป่วยและรักษาตัวอยู่ที่ประเทศเยอรมัน

ว่ากันว่า คนที่ได้เห็น ดอพเพลแกงเกอร์ของตนเอง ร่างกายจะค่อย ๆ ทรุดโทรมลงและพบกับความตายภายใน 1 ปี...



อ้างอิงจาก : http://th.wikipedia.org/wiki
ขอขอบคุณ : http://lonesomebabe.spaces.live.com

ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~



Credit : Indepencil.com

เคล็ดลับบำรุงสมองให้จำแม่นขึ้น


ในช่วงนี้น้องๆหลายๆคนกำลังเข้าสู่การเตรียมตัวสอบFinal หรือเตรียมตัวสอบเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัย ปุ๋มปิ๋มจะมาเผยเคล็ดลับในการบำรุงสมองที่ช่วยในส่วนของการจำรายละเอียดต่างๆให้ดีขึ้น ด้วยการ กิน!! อาหารที่มีประโยชน์และที่อาหารที่สมองต้องการ มีดังนี้

ก่อนอื่นเราต้องรู้กันก่อนว่าสมองต้องการสารอาหารอะไรบ้างที่ช่วยในการจำ!!

+ วิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี1 บี2 บี6 บี12 ไนอะซิน แพนโธทีนิคและกรดโฟลิค เป็นกลุ่มของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นประสาทป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน และความสมบูรณ์ของอวัยวะ ต่าง ๆ

- วิตามิน B1 มีมากในเมล็ดข้าวต่าง ๆ ที่ไม่ได้ขัดให้ขาว เช่น ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดง ข้าวโอ๊ต เนื้อหมู ตับ ถั่ว รำข้าว และยีสต์ที่ตายแล้ว

- วิตามิน B2 พบในอาหารประเภท เครื่องใน เช่น ตับ ไต (เซี่ยงจี๊) น้ำนม และนมเปรี้ยว (โยเกิร์ต) ผักใบเขียว และ ปลา

- วิตามิน B6 มีในปลา เป็ด ไก่ เนื้อสัตว์ กล้วย ลูกพรุน ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดขาว อะโวคาโด ข้าวโพด

- วิตามิน B12 มีอยู่ในเนื้อสัตว์ต่างๆ อาหารทะเล นมและผลิตภัณฑ์จากนม เนยแข็ง

- ไนอะซิน หรือ กรดนิโคตินิก หรือเรียกอีกอย่างว่า วิตามินB3 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีสภาพคงทนกว่าวิตามินบี 1 และ บี 2 หลายเท่าตัว มีความทนทานต่อความร้อน แสงสว่าง กรด ด่าง ไนอาซินเป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน พบมากในเนื้อสัตว์ เนื้อปลา เป็ด ไก่ ถั่ว เครื่องในสัตว์ มันฝรั่ง ธัญพืช นม ยีสต์ ไข่ ผักสีเขียว

- แพนโธทีนิค หรือ วิตมินB5 ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน รักษาระดับพลังงาน และลดความเครียด พบมาใน นมผึ้ง บริเวอรส์ยีสต์ ตับและไต นัต ธัญพืชไม่ขัดขาวและไข่

- กรดโฟลิก มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ ช่วยให้โครงสร้างสมองสมบูรณ์ ช่วยในการดูดซึมน้ำตาลและโปรตีน และเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด มีมากในผักใบเขียวจัด เช่น ผักโขม บล็อกโคลี่ เห็ด ตับ ถั่วที่มีสีเขียว มันฝรั่ง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลมีล ส้ม ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง ตับ นม ไข่ โยเกิร์ต

+ ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง การขาดธาตุเหล็กจะทำให้สมาธิสั้น ไอคิวลดลง
การเสริมธาตุเหล็กสำหรับผู้ที่ขาดธาตุเหล็ก จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์
ใช้ความคิด เพิ่มทักษะในการใช้คำพูด อาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ เครื่องใน อาหารทะเล

โคลีน เป็นองค์ประกอบที่พบในเยื่อหุ้มเซลล์สมองและสารเคมีในเซลล์สมองที่ชื่อว่า อะเซทิลโคลีน ซึ่งควบคุมความจำ อาหารที่มีโคลีนสูง คือ ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บรูเออส์ยีส ส่วนที่มีในปริมาณเล็กน้อยได้แก่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ ขนมปังโฮลวีท นม ส้ม ดอกกะหล่ำ และแตงกวา

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองจากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม พืชที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระได้แก่ สารโอพีซีสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากใบแปะก้วย กรดไลโปอิคและสารฟลาโวนอยด์ในผัก ผลไม้ เช่น องุ่น ผลไม้ประเภทเบอร์รี ชาเขียว

** มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่า ผู้ที่บริโภควิตามินซีสูงมีผลการทดสอบด้านสมาธิ ความจำ และการคำนวณดีที่สุด

น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันความจำเสื่อม ปลาที่มีโอเมก้า 3 มาก ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาค้อด ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล **ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารแนะนำให้บริโภคเนื้อปลาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

ถ้ารู้กันเช่นนี้เราควรหาวิธีที่ช่วยบำรุงสมองที่เหนื่อยล้ากลับมาเฟรซอีกครั้งด้วยอาหารที่มีคุณประโยชน์ดีๆเหล่านี้กันนะคะ และสำหรับคนที่ไม่มีเวลาหรือเร่งรีบจริงๆ เราก็สามารถหา เครื่องดื่มบำรุงสมอง ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดมาดื่มในช่วงเช้าก่อนทานอาหารเช้าทุกวันนะคะ และที่สำคัญที่สุด การพักผ่อนนอบหลับเป็นวิธีบำรุงสมองชั้นเยี่ยมเลยทีเดียวจ๊า ^^

Credit http://www.thoondd.com/content.php?id=952

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กินขนมหวาน ทำให้เป็นสิวได้หรือไม่


มีรายงานว่าไม่พบสิวในคนบางกลุ่มซึ่งกินอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ จึงมีการตั้งทฤษฎีการได้รับน้ำตาลน้อยว่า เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลน้อยระดับอินซูลินในเลือดจะต่ำ และภาวะน้ำตาลน้อยยับยั้งการผลิตแอนโดรเจน

ส่วนอาหารที่มีน้ำตาลสูงทำให้มีอินซูลินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งภาวะนี้นำไปสู่การมี insulin-like growth factor 1 (IGF-1) ในเลือดสูงขึ้น ซึ่งพบว่า IGF-1 ทำให้ผิวหนังแบ่งตัวเร็วและหนาตัวขึ้น จึงทำให้เกิดก้อนไขมันอุดตันในรูขุมขนและเกิดสิวตามมา นอกจากนั้น IGF-1 และอินซูลิน ยังกระตุ้นการผลิตแอนโดรเจน ที่ทราบกันดีว่าเป็นตัวเพิ่มการผลิตไขมัน

มีการศึกษาทำในผู้ชายอายุ 15-25 ปีที่เป็นสิวจำนวน 43 ราย แบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กินอาหารตามปกติ กลุ่มที่ 2 ให้กินอาหารที่ให้น้ำตาลต่ำ เป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน 12 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ได้อาหารที่ให้น้ำตาลต่ำผู้ป่วยมีน้ำหนักลดลง และปริมาณสิวลดลงโดยการนับจำนวนสิวทั้งหมด ปัจจุบันจึงเชื่อว่าการกินขนมหวานที่มีน้ำตาลสูงน่าจะกระตุ้นให้สิวกำเริบ ได้จริง

ถูกผีอำ' อยากรู้ว่าผีอำเกิดจากอะไร ไม่ได้เป็นผีจริงๆ ใช่ไหมคะ


ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ไขข้อสงสัยในวิทยาศาสตร์รอบตัว จากเว็บไซต์ สสวท. ว่า ความจริงแล้วอาการผีอำ คือ ล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าโดยเฉพาะหลังจากทำงานหรือดูหนังสือ แม้กระทั่งดูโทรทัศน์ เมื่อเข้านอนด้วยความล้า และเกิดการประสานกันระหว่างสารเคมีกับสภาพชีวเคมีของร่างกาย ทำให้เกิดอาการทั้งกดทั้งค้าง ทำให้เราขยับเขยื้อนไม่ไหว ในขณะนั้นความจริงแล้วกำลังตื่นอยู่ สมองทำงานได้ แต่ร่างกายเราขยับเขยื้อนไม่ไหว เหมือนมีคนมาจับเราอยู่ จึงคิดเลยเถิดว่ามีผีมาจับตัวเรา

น.พ.เทอดศักดิ์ เดชคง นายแพทย์เชี่ยวชาญ กลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เขียนไว้ในเว็บไซต์ หมอชาวบ้าน ว่าผีอำเป็นปัญหาในการนอน เกิดอาการในสภาวะคล้ายๆ กับการฝัน ขณะที่ถูกผีอำคนๆ นั้นจะอยู่ในสภาวะที่ขยับตัวไม่ได้

สภาวะการหลับมี 2 ระยะ คือ non-REM เป็นช่วงที่หลับ แต่ตาไม่ได้กลอกไปมา ยังพอมีกำลังขยับตัวได้ พลิกตัวได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเราจะลุกขึ้นมาได้ แต่ในภาวะหลับตาแบบตากระตุก หรือ REM sleep จะมีการฝัน กล้ามเนื้อต่างๆ จะผ่อนคลายหมด ขยับตัวไม่ได้ยกเว้นต้องตื่นในช่วงเวลาเอง ถ้ามีสิ่งเร้าอะไรที่มาทำให้เราไม่สบาย เช่น อาจจะมีหมอนข้างมาวางอยู่บนตัวหรือขา หรืออาจจะนอนในท่าที่ไม่สบาย อยากจะออกจากสถานการณ์นั้น แต่ว่าทำไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อมันคลายไปหมดแล้ว ก็จะเป็นสภาวะที่รู้สึกเหมือนกับว่าใครมากดทับ สักพักหนึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง

คนที่มีอาการ 'ผีอำ' ไม่ได้เป็นความผิดปกติทางจิตใจ แต่เป็นสิ่งที่บ่งบอกในเบื้องต้นว่าเริ่มมีภาวะความเครียด ซึ่งไม่ได้เกิดอาการนี้ทุกๆ วัน ยกเว้นบางคนที่เป็นมาก แสดงว่าปัญหาเยอะ แล้วมักจะเก็บไปฝัน ถ้าตื่นขึ้นมานิดหนึ่งก็จะรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้ ตกอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น

วิธีการจัดการเมื่อถูกผีอำ คือ ผ่อนคลายความเครียดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง อย่าไปทำอะไรที่ตื่นเต้น เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกม อาจจะผ่อนคลายก่อนนอนด้วยการอาบน้ำอุ่น หรือดื่มนมอุ่นๆ โดยเฉพาะนมถั่วเหลือง จะทำให้หลับสบายขึ้น หรืออาจจะใช้วิธีสะกดจิตเข้าช่วยโดยการโปรแกรมจิตใหม่

รายที่อาการมากๆ แพทย์จะจ่ายยาคลายเครียดหรือยาต้านเศร้า จะทำให้หลับสนิทขึ้นโดยไม่ฝันมากนัก เพราะคนที่ผีอำจะฝันปนอยู่ด้วย เมื่อฝันน้อยลงจะลดอาการผีอำได้

หลักง่ายๆ เวลาโดนผีอำให้นอนเฉยๆ สักพักอาการจะหายไปเอง

ผู้ใหญ่มักจะเตือนว่าอย่านอนตอนโพล้เพล้เพราะจะถูกผีอำ น.พ.เทอดศักดิ์บอกว่าในทางวิทยาศาสตร์เวลาเย็นๆ หรือโพล้เพล้เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของแสง การเปลี่ยนแปลงของแสงนั้นเป็นสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งที่ทำให้มีปัญหาในการนอน ถ้าเรานอนตอนกลางคืนหรือกลางวันไปเลยจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ถ้านอนช่วงโพล้เพล้อาจจะหลับไม่สบาย หลับไม่สนิท

ผีอำ จึงไม่ใช่ผีเข้า อย่างที่เข้าใจผิดกันมา และสามารถแก้ไขได้โดยทำใจให้สบายก่อนนอน

รู้ไปโม้ด - nachart@yahoo.com

เคล็ดลับ วิธีแก้นิสัยขี้ลืม ด้วยตัวเอง แบบง่าย


ตั้งสมาธิ สาเหตุ หนึ่งที่ทำให้หลงลืมบ่อยเพราะไม่มีสมาธิ หรือมีสารพัดเรื่องเข้ามาแทรกแซงอยู่ตลอดเวลา อย่าให้มีอะไรมากวนสมาธิบ่อยนัก จัดเวลาช่วงหนึ่งงดรับโทรศัพท์และติดป้ายห้ามรบกวนไว้ที่โต๊ะ หาเวลานั่งเงียบๆ หลับตา หายใจเข้าช้าๆ เพื่อให้เกิดความสงบ




จดโน้ต ถ้าทำงานที่มีความซับซ้อนหรือมีหลายงาน ควรรีบโน้ตสั้นๆ ว่าจะทำอะไรต่อไป ส่วนที่ชอบลืมแล้วลืมอีกควรจดโน๊ตต่างๆ เพื่อช่วยเตือนความจำอีกที




ใส่ใจ การ ที่คนเราลืมอะไรบ่อยๆ อาจะเป็นเพราะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้น ถ้าใครพูดอะไรด้วยแล้วลืม หรือจำชื่อคนไม่ค่อยได้ ลองหันมาสนใจตั้งใจฟังสักนิด ก็จะช่วยให้จำได้ดีขึ้น




ท่องจำ การท่องเป็นวิธีช่วยจำที่ตรงไปตรงมาที่สุด เด็กนักเรียนจำคำศัพท์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เพราะท่องจำเนี่ยแหละ ถ้าหมั่นท่องสิ่งที่ต้องทำบ่อยๆ ได้จากการฟัง ได้ดีขึ้น


พูดออกเสียง เคยสังเกตไหมว่าเราสามารถจดจำเรื่องต่างๆ ได้จากการฟัง การพูด ออกมาทำให้เราได้ยินเสียงของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้จำง่ายขึ้น


พูดคุยหรือเล่าให้คนอื่นฟัง ก็เป็นการช่วยจำทางหนึ่ง และการเล่าให้คนอื่นฟังรู้เรื่อง ตัวเราเองต้องเข้าใจเรื่องนั้นอย่างดีและจำได้ดี ถ้าอยากจำเรื่องที่ประชุม สัมมนา หรืออบรมได้ดีขึ้นลองพูดคุยหรือเล่าให้เพื่อนฟัง


ทำ mind mapping ถ้า จะทำโครงการต่างๆ ลองเริ่มจากการเขียนแผนผังใส่หัวข้อต่างๆ ลงไป มีหัวข้อหลักและรายละเอียดด้วยก็จะทำให้เห็นภาพรวมทั้งหมดและช่วยจำได้ ที่สำคัญนอนหลับให้พอ ถ้านอนเต็มอิ่มก็จะช่วยให้จำดีขึ้น



ขอบคุณสกิดดอทคอม

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กินไอศกรีมนั้นดีกว่ากินมื้อเที่ยงเป็นไหนๆ


สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบการกินไอศกรีมแต่กลัวอ้วน อาจจะต้องดีใจจากข้อมูลจากประเทศอิตาลี ที่ขึ้นชื่อเรื่องไอศกรีมโฮมเมดว่า

การกินไอศกรีมนั้นดีกว่ากินมื้อเที่ยงเป็นไหนๆ เพราะย่อยง่าย และทำให้สดชื่นพร้อมลุยงานต่อในช่วงบ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครอยากลดความอ้วนละก็ แนะนำให้กินไอศกรีมผลไม้แทนมื้อเที่ยงสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง

ข้อดีต่อไปคือ ไอศกรีมเชอร์เบทดับกระหายได้ดีกว่าน้ำ เพราะมีน้ำซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ร้อยละ 65-70 แถมมีแคลอรี่น้อยกว่าน้ำอัดลมด้วย นอกจากนี้ไอศกรีมยังช่วยลดความเครียดได้ เพราะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายและทำให้ผ่อนคลายอีก



แต่น้องๆ ที่อยู่ในวัยเรียน แนะนำว่า กินมื้อเที่ยงด้วยก็ดีนะคะ เพราะเดี๋ยวไม่มีอะไรไปบำรุงสมอง ลดอ้วนเฉพาะมื้อเย็นดีที่สุดนะคะ

ภาพจาก http://everybodylikessandwiches.com

The Flannan Isles lighthouse keepers


หนึ่งในกรณีของการหายสาบสูญที่น่าพิศวงก็คือกรณีเหตุเกิดที่เกาะฟรานแนน ซึ่งเป็นเกาะเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากสกอตแลนด์ประมาณ 20 ไมล์ โดยเกาะแห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นจุดเด่นก็คือประภาคารสูงกว่า 23 เมตร ที่สร้างขึ้นระหว่าง 1895 และ 1899 และสถานที่แห่งนี้เองได้เกิดเรื่องลึกลับขึ้น เมื่อในวันที่ 15 ธันวาคม 1900 เรือกลไฟที่ผ่านเกาะแห่งนี้ในสภาพอากาศเลวร้ายได้สังเกตว่าแสงไฟจากประภาคาร ไม่ได้ส่องนำทางให้แก่เรือของพวกเขา ทั้งที่ในประภาคารเวลานั้นมีเจ้าหน้าที่ประภาคารสามคนผลัดเปลี่ยนเวรอยู่ ต่เนื่องด้วยตอนนั้นสภาพอากาศเลวร้ายทำให้พวกเขาไม่ได้ขึ้นไปตรวจสอบ จนกระทั้งวันต่อเมื่อมีตรวจสอบประภาคารก็พบว่ายามทั้งสามคนได้หายตัวไปอย่าง ลึกลับโดยทิ้งหน้าที่ของพวกเขาเอาไว้ ที่น่าลึกลับก็คือประตูทางเข้าประภาคารได้ถูกปิดลง นาฬิกาหยุด เตียงถูกทำลาย เครื่องครัวของทุกคนสะอาดแสดงว่าเขาน่าจะหายไปหลังอาหารค่ำ แม้หลายฝ่ายจะมีการค้นหาสามยามดังกล่าวจากหน้าผาหรือในน้ำแต่ก็ล้มเหลว หลายคนเชื่อว่าสามคนที่หายไปนั้นเกิดจากพายุจากสภาพอากาศที่เลวร้าย หรือจากปรากฏการณ์ลึกลับเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว งูทะเลยักษ์คาบไปกิน หรือไม่ก็ทั้งสามถูกลักพาตัวโดยสายลับต่างชาติ